รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

One Summer (2021)

Untitled09187

One Summer เป็นหนัง Hallmark แบบที่ผมชอบครับ เป็นเรื่องแนวชีวิตว่าด้วยความรักความเข้าใจในครอบครัว ไม่ได้เน้นโรแมนซ์เป็นหลักแบบหนัง Hallmark ส่วนใหญ่ในระยะหลัง

หนังชีวิตสไตล์นี้เมื่อก่อน Hallmark ทำออกมาบ่อยครับ ประมาณยุค 90 จนถึงยุค 2000 นี่มีมาเรื่อยๆ และหลายเรื่องก็ทำได้ซาบซึ้งกินใจใช่เล่น จนมาระยะหลังนี่แหละครับที่ Hallmark หันมาเน้นโรแมนซ์หรือไม่ก็สืบสวน ไม่ค่อยมีแนวนี้ออกมาสักเท่าไร ทำให้พอได้เจอหนังแบบนี้อีกครั้งก็รู้สึกดีใจครับ คล้ายกับได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอมานานนั่นแหละ

One Summer ว่าด้วยเรื่องของ แจ็ค อาร์มสตรอง (Sam Page) ชายที่เพิ่งสูญเสียภรรยาไป แล้วเขาก็ตัดสินใจพาลูกๆ ทั้ง 2 คนเดินทางไปเปลี่ยนบรรยากาศที่เมืองแชนนิ่ง เมืองที่แม่ของพวกเขาเคยอยู่ โดยลูกสาวคนโตชื่อมิกกี้ (Madeline Grace Popovich) ส่วนน้องชายคนเล็กชื่อไทเลอร์ (Gavin Borders)

ครอบครัวนี้กำลังตกอยู่ในความเศร้าครับ และสายสัมพันธ์ของพวกเขาก็ชำรุดโดยเฉพาะมิกกี้ที่ค่อนข้างฉุนเฉียวอยู่ตลอด แจ็คก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวกลับมาเป็นครอบครัวอีกครั้ง ซึ่งก็โชคดีครับที่เขาได้เจอเจนนา ฟอนเทน (Sarah Drew) เจ้าของร้านอาหารอัธยาศัยดีที่คอยหยิบยื่นความปรารถนาดีให้ รวมถึงพ่อแม่ของภรรยาผู้จากไป (Bill Winkler และ Elizabeth Becka) ก็แวะเวียนมาดูแลพวกเขาอยู่เป็นพักๆ

หนังดัดแปลงจากนิยายของ David Baldacci ที่คอนิยายบ้านเราอาจคุ้นเคยกับผลงานแนวระทึกขวัญของเขามากกว่า สำหรับเรื่องนี้ก็ออกแนว Feel Good น่ะครับ เรื่องของครอบครัวที่แตกร้าวมาตั้งหลักในเมืองใหม่แล้วก็พยายามหันหน้าเข้าหากัน ตอนแรกก็อาจมีปัญหากันบ้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปบาดแผลของพวกเขาก็จะค่อยๆ ได้รับการเยียวยา และความรักค่อยๆ กลับมาในที่สุด

ครับ ผมดีใจที่ได้ดูหนังแนวนี้จาก Hallmark อีก แต่ก็ต้องขอว่ากันตามจริงว่าตัวหนังยังไม่เด็ดเหมือนหนังรุ่นก่อนๆ คือในแง่บทนั้นก็อย่างที่บอกไปว่าครบสูตรหนังแนวนี้ เพียงแต่การเดินเรื่องยังไม่มีพลังมากพอ เหมือนตัวหนังเดินหน้าไปเรื่อยๆ เล่าเรื่องราวและเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยมีการบิ้วอารมณ์ให้คนดูอิน และความเป็นหนังก็ยังไม่กลมกล่อมgmjkหนังชีวิตสมัยก่อนที่เรื่องราวจะเดินหน้าไปพร้อมกับอารมณ์ ทำให้เราค่อยๆ จมลึกลงสู่เรื่องราว จนพอถึงตอนจบนี่เราก็แทบจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับพวกเขาไปเลย

Untitled09188

ความรู้สึกแบบนี้จริงๆ ผมรู้สึกมาได้ระยะหนึ่งแล้วครับ ไม่เฉพาะกับหนังดราม่าของ Hallmark นะ แต่รวมถึงหนังโรแมนติกด้วย คือมันจะไม่เหมือนสมัยก่อนที่ดูแล้วเราจะเหมือนถูกดูดไปในจอ ไปอินกับเรื่องราวของตัวละคร แต่กับหนังสมัยใหม่ส่วนใหญ่นี่มันจะให้อารมณ์เหมือนเป็นหนังน่ะครับ ประมาณว่าคนดูก็ส่วนคนดู หนังก็ส่วนหนัง ดูจบแล้วแม้จะรู้เรื่องในหนัง แต่เราจะไม่จมลึกไปกับมัน ไม่รู้สึกถึงขั้นเป็นส่วนหนึ่งของมัน

จะบอกว่าเพราะนี่เป็นหนังทีวีก็ไม่ใช่น่ะครับ เพราะหนังทีวีสมัยก่อนก็ยังทำแล้วอินได้ก็มีอยู่หลายเรื่อง ก็ได้แต่มองน่ะครับว่าลีลาการทำหนังของผู้กำกับยุคใหม่รวมถึงทีมงานภาคส่วนต่างๆ วิธีการทำงานสร้างสรรค์หนังรวมถึงภาษาหนังอาจต่างออกไป คือทำหนังออกมาเป็นหนัง แต่ยังไม่สามารถทำให้คนดูจมลึกไปกับเรื่องราวได้ ยังไม่สามารถยื่นมือมากุมหัวใจของเราได้แบบเต็มที่

จริงๆ หนังมีองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการสร้างความซาบซึ้งนะ อย่างเรื่องของประภาคารที่ชำรุดจนใช้การไม่ได้ กับการที่พระเอกต้องมาซ่อมมันเพื่อรำลึกถึงภรรยา แล้วประภาคารนี้ก็มีผลไปถึงตอนไคลแม็กซ์ในตอนท้าย ซึ่งถ้าปรุงดีๆ วางปมดีๆ เชื่อมโยงดีๆ มันจะเป็นอะไรที่กินใจและเปี่ยมความหมายครับ – แต่ผลที่ได้ถือว่ากลางๆ ยังไม่พีคเท่าที่ควร

และสำหรับหนังเรื่องนี้ โดยรวมแล้วก็ถือว่าโอเคน่ะครับ มีเรื่องราวที่ดี มีเนื้อหา Feel Good มีแง่คิดเกี่ยวกับการก้าวข้ามความสูญเสีย, การตั้งหลักเริ่มต้นชีวิตอีกครั้ง, การมองจากมุมของคนอื่นบ้าง ไม่เอาแต่มองจากมุมของตนเพียงอย่างเดียว หรือการเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ ไม่มัวแต่ปิดกั้นตัวเอง

ดาราก็แสดงกันได้ดีครับ Page ดูเหมาะกับบทคุณพ่อที่สับสน อมทุกข์ แต่ก็พยายามกอบรวมครอบครัวที่แตกร้าวให้กลับมาเหมือนเดิม, Popovich ก็น่ารักดีครับ ตอนเธอร้องเพลงนี้บ่งบอกความสดใสในตัวเธอได้เยอะอยู่ ส่วน Drew ก็ถือว่าโอเคกับบทเจ้าของร้านอาหารแสนดี ซึ่งผมรู้สึกดีนะที่หนังไม่พยายามดันให้เธอคู่กับพระเอกมากเกินไป คือในอนาคตคู่นี้อาจปิ๊งกัน แต่ช่วงนี้พระเอกเพิ่งผ่านการสูญเสีย เลยยังมีระยะห่างอยู่บ้าง ก็เข้าใจได้

นั่นล่ะครับ สิ่งที่ผมรูัสึกจากการดูหนังเรื่องนี้ ก็คือยินดีที่ Hallmark มีหนังแนวนี้ออกมา แต่ก็หวนคิดถึงรสชาติเก่าๆ ของหนังแนวนี้ที่ทำให้เราอินได้ลึกกว่า ก็ได้แต่หวังว่าจะได้ดูหนังที่รสชาติกลมกล่อมเต็มอิ่มยิ่งๆ ขึ้นไปในอนาคต

สองดาวกว่าๆ ครับ

Star21

(6.5/10)