รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

The Cell (2000) เหยื่อเงียบอำมหิต

1380472032

รู้ไหมครับว่าทุกวันนี้ผมยังนึกถึงหนังเรื่องนี้เป็นระยะ เพราะชอบครับ ตรงเนื้อหานั้นไม่ได้ชอบอะไรมากมาก แต่ผมชอบตรง “Special Effect” และงานด้านภาพที่ทำออกมาได้สวย ตื่นตา ค่อนข้างเนียนและสมจริง ซึ่งสมัยที่ดูรอบแรกในโรงนั้นมันเป็นอะไรที่ติดตาจริงนะครับ (นี่ขนาดสมัยนั้นไม่มีโรงหนัง 3D แบบปัจจุบันนะเนี่ย)

เนื้อเรื่องเล่าไม่ยากครับ เมื่อ ดร. แคทเธอรีน เดน (Jennifer Lopez) นักจิตบำบัดที่กำลังใช้เทคโนโลยีบำบัดใจแบบใหม่ นั่นคือเครื่องมือที่สามารถเข้าไปบำบัดคนไข้ได้ถึง “จิตใต้สำนึก” ประมาณว่าผู้บำบัดก็เชื่อมจิตเข้าไปคุยกับคนไข้ที่ระดับจิตใต้สำนึกกันเลย แต่กระนั้นแนวทางการบำบัดนี้ก็ยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร

แต่แล้วก็มีงานแทรกเข้ามาครับ เมื่อคาร์ล สตาร์เกอร์ (Vincent D’Onofrio) ฆาตกรโรคจิตที่ชอบจับหญิงสาวมาทรมานและปล่อยให้จมน้ำตาย ล่าสุดทางการจับตัวมันมาได้ แต่ก็อยู่ในสภาพโคม่าซะแล้ว และปัญหาใหญ่คือตอนนี้เหยื่อรายล่าสุดของคาร์ลอาจยังมีชีวิตอยู่ แต่ปัญหาคือที่ไหน จะถามคาร์ลก็ไม่ได้เพราะพี่แกโคม่าอยู่ แต่ก็ไม่มีทางที่ทางการจะปล่อยให้เหยื่อตายครับ

ในที่สุดทางการก็ขอให้ดร. แคทเธอรีนช่วย และทางเดียวที่เธอคิดว่าจะสามารถทำเรื่องนี้ได้สำเร็จก็คือต้องเอาเครื่องมือเชื่อมจิตที่ว่านั้นเจาะเข้าไปในจิตใต้สำนึกของคาร์ล ไปค้นหาเงื่อนงำเพื่อจะพบเบาะแสเกี่ยวกับเหยื่อรายสุดท้ายนั่น ซึ่งมิติแห่งจิตที่เธอต้องเข้าไปนั้น คือมิติแห่งฆาตกรโหด และมันอาจทำให้เธอคุ้มคลั่งหรือชักจูงจิตของเธอให้กลายเป็นบ้าได้ตลอดเวลา

แล้วการเจาะจิตแบบแข่งกับเวลาก็เริ่มต้นครับ เพราะหากดร. แคทเธอรีนไม่สามารถหาที่ซ่อนของเหยื่อรายสุดท้ายได้ เธอก็จะต้องตายอย่างอนาถทันที

ถ้าพูดถึงแง่สาระหรือแง่มุมทางจิตนั้นจริงๆ ก็ไม่มีอะไรมากครับ ถ้าให้สรุปง่ายๆ ก็คือคาร์ลนั้นคือเหยื่อที่ถูกทารุณกรรมตั้งแต่ยังเด็ก เขาถูกเลี้ยงอย่างไม่เหมาะสม จนสภาพจิตของเขายับเยินไม่ไว้ใจใคร และไม่รู้วิธีการเข้ากับผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง อันทำให้เขาค่อยๆ กลายเป็นฆาตกรโหด โรคจิต และมีพิธีกรรมพิสดารเพื่อสนองความต้องการของตนเอง เรื่องนี้ถือว่าไม่มีอะไรซับซ้อนครับ แต่จุดที่ผมชอบคือการที่หนังเอาสิ่งเหล่านี้ไปถอดรหัส ทำออกมาเป็นภาพ ถ่ายทอดออกมาเป็นเหมือนภาพวาดศิลป์ที่สะท้อนถึงความบิดเบี้ยวภายในจิตใจของคาร์ล ซึ่งดูไปแล้วมันสนุกครับ

สนุกอย่างแรกเลยคือ ภาพสวยมาก ยอมรับว่าออกแบบมาดี สีสันสด รูปแบบของภาพก็ดูผิดปกติ สวยแต่ดูน่ากลัวไปในเวลาเดียวกัน

สนุกอย่างที่สองคือ เพลินไปกับการตีความเรื่องราวในภาพแต่ละภาพ ฉากแต่ละฉาก แม้ความหมายภายในอาจไม่ได้ลึกซึ้งหรือซับซ้อน แต่ผมว่าฉากออกแบบมาได้เหมาะกับประเด็นที่ต้องการสื่อ

สนุกอย่างที่สามคือ อยากรู้ว่าฉากนี้มันจะพาเราไปไหน อันนี้มันลุ้นไปอีกแบบนะครับ คือเรารู้ว่านี่คือการเจาะจิต มันไม่ได้ทำให้โลกแตกทำให้ตึกถล่มได้ แต่มันคือการค้นหาในระดับจิต แต่ที่น่าสนุกคือโลกแห่งจิตในหนังก็เหมือนโลกแห่งจินตนาการน่ะครับ มันเกินจริงได้ มันพลิกผันได้ มันบิดเบี้ยวได้ ทำให้เราคาดเดาได้ยากว่าเรื่องมันจะไปทางไหนต่อกันแน่ และมันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปอีกบ้าง

โดยรวมผมเลยชอบหนังเรื่องนี้ครับ ภาพมันเจ๋งดี ดาราก็ถือว่า Work จะมีติดนิดหน่อยก็ตรงที่หน้านักแสดงครับ ผมรู้สึกว่าหน้าพี่ D’Onofrio ที่มาเป็นคาร์ล ฆาตกรโรคจิตกับหน้าของพี่ Vince Vaughn ในบทปีเตอร์ โนแว็ก พระเอกของเรื่อง หน้าตาทั้งสองคล้ายกันในหลายมุม จนบางทีก็มีสับสนเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นด้านการแสดงอันนี้พวกพี่เขาเล่นดีครับ

fhd002TCL_Jennifer_Lopez_023

ครับ ด้านเทคนิคดี แต่อีกจุดที่ยังไม่เต็มที่คือช่วงต้นๆ ตอนที่ยังไม่ได้เจาะจิตน่ะครับ เดินเรื่องช้าไปนิด แต่ก็ไม่มากครับ นี่จึงเป็นหนังแนวระทึกขวัญตามล่าฆาตกรโรคจิตที่น่าสนใจ เพราะมันไปล่ากันในจิตใต้สำนึกของฆาตกร แต่ก็ต้องกระซิบบอกไว้ก่อนว่าถ้าใครขวัญอ่อน กลัวภาพหวาดเสียวก็อาจต้องทำใจนะครับ เพราะมันมีฉากน่ากลัว และฉากหวาดเสียวเยอะไม่ใช่น้อยทีเดียว (ที่ชอบเป็นพิเศษคือฉากเปิดตัว ตอนพี่คาร์ลในคราบจอมมารเดินมาพร้อมผ้าคลุมโคตรยาวน่ะครับ สุดยอดจริงๆ)

นี่คืองานกำกับชิ้นแจ้งเกิดของ Tarsem Singh ครับ ถือว่าทำออกมาได้น่าจดจำมากๆ ในเรื่องภาพ แต่ด้านเนื้อหาด้านบทอาจยังไม่มีอะไรเตะตาขนาดนั้น

แต่อย่างน้อยหนังก็มาพร้อมแง่คิดสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของโลกครับ นั่นคือการเลี้ยงดูนั้นสำคัญนัก ลูกหลานของเราจะมีลักษณะนิสัยเป็นยังไง ส่วนหนึ่งก็เพราะพ่อแม่พี่น้องและญาติๆ นั่นแหละครับ หากช่วยกันสอนเขา ประคองเขาในทางที่เหมาะควร เขาก็ย่อมใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสม และถ้าเราทุกคน (ในทุกครอบครัว) ทำแบบนี้ได้ โลกคงสงบขึ้นมาก

สองดาวใกล้ครึ่งครับ

Star21

(6.5/10)