ไม่รู้มีใครคิดเหมือนผมบ้างหรือเปล่าน่ะนะครับ แต่ผมว่าปีนี้ความน่าสนใจของภาพยนตร์ฉายโรง (หรือกระทั่งหนังแผ่น) มันดูน้อยลงยังไงก็ไม่รู้ ว่าง่ายๆ คือหนังน่าดูมันลดปริมาณลงแฮะ
ไม่รู้มีใครคิดเหมือนผมบ้างหรือเปล่าน่ะนะครับ แต่ผมว่าปีนี้ความน่าสนใจของภาพยนตร์ฉายโรง (หรือกระทั่งหนังแผ่น) มันดูน้อยลงยังไงก็ไม่รู้ ว่าง่ายๆ คือหนังน่าดูมันลดปริมาณลงแฮะ
เรื่องนี้ดูไปสักพักก็ชวนให้นึกถึง Edge of Tomorrow ผสม The Bourne Identity ครับ ประมาณว่าตัวเองตื่นมาแล้วเบลอๆ จำอะไรไม่ได้ แล้วก็ต้องมาฝ่านรกเอาตัวรอดจากสารพัดหายนะที่เกิดขึ้นรอบตัวเขา
ระหว่างดูหนังเรื่องนี้ผมก็คิดอะไรได้ขึ้นมาอย่างหนึ่งครับ นั่นคือผมรู้สึกว่าหนังสมัยใหม่หลายเรื่องมีจุดอ่อนคล้ายๆ กัน นั่นคือในส่วนของการเล่าเรื่องให้มันชวนติดตาม
ผมมองหนังเรื่องนี้ใน 2 มุมครับ มุมแรกคือมองในเชิงหนังตลกล้อเลียน ซึ่งดูก็รู้ครับว่าหนังจงใจทำออกมาล้อ The Omen แหงมๆ ส่วนอีกมุมก็คือมุมสาระที่ชวนให้สะกิดใจสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ (ทั้งพ่อแม่แท้และพ่อแม่เลี้ยงน่ะครับ)
หนังเอาฮาที่ดูได้เรื่อยๆ ครับ อาจไม่ได้สุดยอด ไม่ได้ฮาแตกตลอดเรื่อง ว่ากันจริงๆ คือมีช่วงช้าๆ อืดๆ บ้าง แต่ว่ากันโดยรวมแล้วก็ไม่ได้แย่แต่อย่างใด ดูเอาสนุกแก้ขัดได้น่ะครับ
ผมนั้นชอบดูหนังโรแมนติกครับ และรู้สึกได้ว่าทุกวันนี้มีหนังรักเข้าโรงน้อยลงเรื่อยๆ อาจเพราะกระแสที่เปลี่ยนไป หรือไม่ก็ถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทำให้ส่วนใหญ่หนังรักแบบเดิมๆ ก็เหลือให้ดูแค่ที่ Hallmark เป็นหลัก
ตอนมีการประกาศข่าวว่าจะสร้างหนังเรื่องนี้ (เป็นหนังฉายทีวีที่อเมริกาน่ะนะครับ) มีคนเคยสัมภาษณ์ Britney Spears ว่าเธอจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยมากน้อยแค่ไหน
ในเบื้องต้นหนังเรื่องนี้น่าสนใจสำหรับผมครับ เรื่องของหนุ่มสาวคู่หนึ่งไปเที่ยวพักผ่อนกันที่ไอซ์แลนด์ แต่วันหนึ่งพวกเขาตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าไม่เหลือใครในโลกอีกต่อไป ทุกแห่งหนกลายเป็นสถานที่ร้างไร้ผู้คน
มาอีกแล้วครับ กับหนังเรื่องนี้ที่ผมแน่ใจว่าจะต้องมีคนไม่ชอบหรือเฉยๆ มากกว่าคนที่ชอบแน่ๆ (555) ส่วนผมนั้นก็ออกแนวลูกผสมทางอารมณ์ครับ ที่ชอบก็มี แต่ที่เฉยๆ ก็มีเหมือนกัน
ดูหนังเรื่องนี้แล้วแอบอึ้ง พร้อมตะลึงทางอารมณ์ เพราะไม่นึกว่าหนังมันจะเป็นอะไรแบบนี้น่ะครับ… ถ้าให้พูดตรงๆ คือหนังดูน่าสนใจในเบื้องต้น แต่กลับกลายเป็นอะไรที่เละในตอนกลางและตอนท้าย