Action

ไอ้เซ่อสู้ยับ (1973) The Bastard

หนุ่มกำพร้า (จงหัว, Tsung Hua) ที่ฝึกวิชากับอาจารย์มา 18 ปี จากนั้นเขาก็ลงเขามาเพื่อตามหาพ่อแม่ แล้วก็ได้เจอกับ ขอทานน้อย เสี่ยวอี่ (หลี่ลี่ลี่, Lily Li) ที่มาสอนให้เขารู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแต่ด้านสวยงาม แต่มันยังมีด้านมืดและคนที่หลอกลวง แต่กระนั้นเขาก็ยังคงมองทุกอย่างในแง่ดี จนมันนำพาตัวเขาไปสู่เรื่องราวที่เขาจะต้องจดจำไปชั่วชีวิต

สมทบด้วย หวังชิงเหอ (Wong Ching Ho) ในบทลุงหวัง เถ้าแก่ร้านขายโจ๊ก, โอวหยางชาเฟย (Ouyang Sha Fei) เป็นแม่เล้าหอนางโลมที่ตั้งแง่กับเจ้าหนุ่มกำพร้าตั้งแต่แรกเห็น, จิงเหมี่ยว (Ching Miao) เป็นกู้ชิงป๋อ มหาเศรษฐีประจำเมือง, หลิวตัน (Lau Dan) เป็นหลานของกู้ชิงป่อ คนที่เป็นหัวโจกน่ะครับ, เจิ้งเหล่ย (Cheng Lei) เป็นหลานอีกคนของกู้ชิงป๋อ คนที่ชอบแต่งชุดแดงน่ะครับ

เฉียวหลิง (Chiao Lin) เป็นอ้ายเจิน สาวสวยเสน่ห์ร้ายที่มาล่อลวงเจ้าหนุ่มกำพร้า, เจียนเซิน (Chan Shen) เป็นอาจารย์รองที่สอนวิชาต่อสู้ให้พวกหลานๆ ของกู้ชิงป๋อ และหยางฉีอิง (Yang Chih Ching) เป็นท่านตาจาง ชายชราใจดีที่คอยช่วยเสี่ยวอี่ และหนังกำกับโดย ฉู่หยวน (Chor Yuen) ครับ

หนังสนุกและดีกว่าที่คิดครับ ตอนแรกก็นึกว่าจะออกมาแบบเบาๆ ฮาๆ แต่กลายเป็นว่าหนังทำถึงในทุกส่วน ตั้งแต่คิวบู๊ที่ตอนต้นๆ อาจไม่ได้มีเยอะเท่าไหร่นะครับ แต่พอถึงตอนท้ายนี่หนังอัดกันมันส์ใช้ได้ บู๊กันสาใจใช่เล่น อันนี้ถือว่าเกินคาดครับ ซึ่งก็ต้องชมพี่น้อง หยวนหวู่ปิง (Yuen Woo Ping) และ หยวนเจิ้งหยาน (Yuen Cheung Yan) ที่คุมงานสตันท์และฉากต่อสู้ออกมาได้สนุกแบบนี้ – แต่ต้องย้ำอีกทีนะครับว่าฉากบู๊มันจะมามันส์เอาตอนท้าย ส่วนครึงแรกไม่ค่อยมีเท่าไหร่

แล้วครึ่งแรกของหนังมีอะไร? แม้จะไม่ค่อยมีบู๊แต่หนังก็มีดีเรื่องอื่นครับ อย่างแรกเลยคือต้องยกความดีให้ 2 ดารานำ จงหัวและหลี่ลี่ลี่ที่เล่นคู่กันได้อย่างพอเหมาะ พวกเขาดูเข้าขากันดีมาก จงหัวก็มาในแนวหนุ่มมาดซื่อที่อ่อนต่อโลก และเชื่อว่าพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนย่อมเป็นคนดี ไม่เชื่อว่าจะมีคนมาคิดร้าย – เพราะเขาคิดว่าก็ในเมื่อคนไม่เคยเจอกัน ไม่มีเรื่องผิดใจหรือทำร้ายกัน แล้วคนอื่นนั้นจะมาทำร้ายเอาทำไม

ส่วนหลี่ลี่ลี่ก็เป็นขอทานน้อยที่ช่างเจรจา ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ขณะเดียวกันด้วยความที่ทางผ่านโลกมาเยอะ เลยพยายามสอนเจ้าหนุ่มกำพร้าว่าโลกนี้คนดีก็มี อย่างลุงหวังเถ้าแก่ร้านโจ๊กหรือท่านตาจางเป็นต้น แต่คนไม่ดีก็มีนะ โดยเฉพาะพวกที่มีเงินมีทองแล้วหลงระเริงในอำนาจบาดใหญ่ของตนเอง หรือไม่ก็พวกที่ดูดีแต่ภายนอก ทว่าในใจนั้นพร้อมจะเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา หรือไม่ก็คนธรรมดาทั่วไปก็มีทั้งดีและร้าย บางคนไม่คิดร้ายต่อใคร แต่บางคนกลับยอมทำทุกอย่างได้เพื่อเงิน

ส่วนนี้นี่ผมว่าบทเขียนมาดี คือมันอาจดูง่ายๆ นะครับ แค่เขียนตัวละคร 2 คาแรคเตอร์ที่มองโลกต่างกันออกมา แต่ผมว่าการถ่ายทอดประเด็นพวกนี้ขึ้นจอเนี่ย ถ้าเล่ามีดี เขียนไม่ดี และแสดงไม่เหมาะ มันก็จะดูไม่ลงตัว หรือไม่ก็อาจจะดูสุดโต่งไม่กลมกล่อม ประมาณว่าเราดูแล้วไม่รู้สึกคล้อยตามน่ะนะครับ แต่กับเรื่องนี้นี่ ผมว่าพอเขียนมาพอดี ไม่หนักไม่เบาจนเกินไป การเล่าเรื่องก็พอดี กระทั่งจุดที่มันดูพีคหรือดูสุดก็ไม่ได้สุดเกินจนเกินรับ และเมื่อมาบวกกับนักแสดงที่เล่นได้อย่างพอเหมาะ ผลที่ได้มันเลยพอดี ทำให้หนังดูเพลิน ดูสนุก และชวนติดตาม

การดูหนังเรื่องนี้ทำให้ตระหนักน่ะนะครับ ว่าโลกนี้มันมีทุกสีนั่นแหละครับ ไม่ได้แค่ขาว แค่ดำ หรือแค่เทา มันมีเยอะกว่านั้น แล้วสีเดียวกันก็ยังมีความเข้มต่างกันได้อีกนะ ไหนจะการที่สีมันสามารถผสมกันได้อีก ขาวปนเทาก็มี ดำปนเทาก็มี คือมันมีรายละเอียดและความซับซ้อนหลากหลายมากเกินกว่าจะมองแล้วตีความแบบง่ายๆ ได้ และสิ่งสำคัญเลยก็คือ ท่านเห็นมันตามที่เป็นจริงไหม และปรับตัวอยู่ให้รอดในโลกได้ไหม

อย่างในเรื่องนี่เจ้าหนุ่มกำพร้าก็ได้เจอบทเรียนชุดใหญ่ล่ะครับ ตอนแรกก็มองว่าอะไรดี อะไรงามไปหมด จนพี่แกตกหลุมหลงระเริงอยู่พักใหญ่ และกว่าจะได้เข้าใจถึงความโหดร้ายของโลกก็ทำเอาพี่ท่านเจ็บช้ำไปไม่น้อย โดยเฉพาะเรื่องที่ “เจ็บที่สุด” ที่นำมาสู่ฉากบู๊ชุดใหญ่ไฟกระพริบในตอนท้าย ยอมรับว่าแอบอึ้งไปเหมือนกันเพราะจุดเจ็บที่ว่านี่ถือว่าแรงจริง แรงเกินคาด แต่ถ้าถามว่ามันเกินจริงไหมก็บอกได้เลยว่าไม่ครับ เรื่องแบบนี้มันมีเกิดขึ้นจริงๆ ในโลกใบนี้ แต่กระนั้นก็ยอมรับครับว่าจุดเจ็บนี้ก็ทำให้คนดูรู้สึกสะเทือนได้ไม่น้อยเหมือนกัน

โดยรวมแล้วผมว่าหนังทำถึงครับ ฉากบู๊ก็ดี ตัวเรื่องก็ดูเพลินได้เรื่อยๆ หรือประเด็นชวนคิดสะท้อนความจริงของโลกก็จัดว่าถึง และส่วนตัวแล้วผมมองว่าหนังก็กล้าอยู่นะ อย่างประเด็นอย่าง “คนเป็นพ่อ ใช่จะรักลูกเสมอไป” ก็นำเสนอได้ตรงดี

ผมชอบฉากท้ายของหนังครับ มันได้อารมณ์เหงาๆ โดดเดี่ยวๆ ยามที่เจ้าหนุ่มกำพร้าต้องเดินเพียงลำพัง ในเมืองที่ดูไร้ผู้คน มันให้อารมณ์หม่นที่ดูมีความหมาย และมันสื่อถึงอะไรหลายๆ อย่างที่เจ้าหนุ่มนั่นได้เจอหลังจากลงเขามาได้เข้าท่าดี

เป็นอีกหนึ่งหนังบู๊ผสมตลกและผสมชีวิตของ Shaw Brothers ที่ผมแนะนำให้ดูกันครับ

สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

(7.5/10)

ชื่ออื่นๆ
Little Hero
The Little Illegitimate
Nobody’s Son