Action

มังกรหยก (1977) The Brave Archer

จากวรรณกรรมอมตะของกิมย้งมาสู่ฉบับภาพยนตร์โดย Shaw Brothers ครับ ได้ เหง่ยคัง (Ni Kuang) มาดัดแปลงบทให้ และกำกับโดย จางเชอะ (Chang Cheh)

สำหรับภาคแรกนี่ก็จะเล่าถึงจุดกำเนิดของเรื่องราวตั้งแต่ตอนที่ ก๊วยเซาเทียน (ถังเยี่ยนชาน, Bruce Tong) และเอี้ยทิซิม (ถูจี่หลง, Dick Wei) ได้เจอกับนักพรตคูชู่กี (หยางสง, Yang Hsiung) ก่อนที่พวกเขาจะประสบเคราะห์กรรมอันนำมาสู่เรื่องราวของรุ่นลูกซึ่งก็คือก๊วยเจ๋ง (ฟู่เซิง, Fu Sheng) และเอี้ยคัง (หลี่อี้หมิน, Li Yi Min)

ก๊วยเจ๋งนั้นได้พบกับอึ้งย้ง (เถียนหนิว, Tien Niu) ลูกสาวมารบูรพาเจ้าเกาะดอกท้อ อึ้งเอี๊ยะซือ (กู้กวนจง, Ku Kuan Chung) แล้วก็ออกผจญภัยจนได้วิชามาจากยาจกเหนือ อั้งชิดกง (กุ๊ฟง, Ku Feng) แล้วเรื่องก็เล่ามาถึงตอนที่ก๊วยเจ๋งต้องประลองกับอาวเอี๊ยงเค๊ก (หลี่ซิ่วเสียน, Danny Lee) เพื่อที่จะได้แต่งงานกับอึ้งย้ง

ร่วมด้วยฮุ่ยอิงหง (Kara Wai) ในบท มกเนี่ยมชื้อ, หวังหลงเหว่ย (Wang Lung Wei) เป็นพิษประจิม อาวเอี๊ยงฮง, กั๊วะจุย (Phillip Chung-Fung Kwok) เป็นเฒ่าทารกจิวแป๊ะทง, หลิวฮุ่ยหลิง (Liu Hui Ling) เป็นเปาเซียะเยียก, อี้หยุน (Yung Henry Yu) เป็นอ้วนง้วนอั้งเลียก, หยูไห่หลุน (Yu Hai Lun) เป็นมารกระดูกขาว บ๊วยเถี่ยวฮวง

ไช่หง (Tsai Hung) เป็นค้างคาวเหิน กัวเต็งอัก, หลินฮุยหวง (Lam Fai Wong) บัณฑิตมือวิเศษ จูชง, โหลเมิ่ง (Lo Meng) เป็นเทพอาชา ฮั้งปอกือ, ลุฟง (Lu Feng) เป็นเตียอาแช, ฟ่านเหมยเซิง (Fan Mei Sheng) เป็นเฒ่าประหลาดเซียนโสม เนี่ยจื้ออง และเจียนเซิน (Chan Shen) เป็นไต้ซือเล้งตี่ นอกจากนี้ยังมีตี้หลุง (Ti Lung) มารับบทเป็นอ๋องทักษิณ ต้วนตี่เฮง เพียงแต่ในภาคนี้เขาจะยังไม่มีบทบาทครับ แค่โผล่มาตอนแนะนำตัวเท่านั้น

ผมนั้นก็ดูมังกรหยกมาสารพัดเวอร์ชั่นแล้วน่ะนะครับ ทำให้จำเนื้อเรื่องได้หมด แม้ฉบับนี้จะมีการดัดแปลงไปบ้างแต่โดยรวมก็คงเดิม แล้วก็ต้องยกนิ้วให้เรื่องราวที่กิมย้งเขียนเอาไว้จริงๆ ครับ เพราะแม้ผมจะดูไม่รู้กี่รอบ แต่พอมานั่งดูใหม่ เรื่องราวของมันก็ยังคงสามารถจับความสนใจจากผมได้เสมอ ที่เขาบอกว่าดูได้หลายรอบไม่เบื่อก็คงแบบนี้แหละครับ ขนาดจำได้ว่าจบตรงนี้แล้วจะไปต่อตรงไหน ตอนไหนตัวละครไหนทำอะไรบ้าง แม้จะรู้หมด แต่มันก็ยังคงอยากดูต่อ และยังคงสนุกกับเรื่องราวชุดนี้อยู่เสมอ

แต่ทีนี้ก็คงต้องแยกแยะกันนิดหน่อยครับ ว่าผมนั้นเพลินกับเรื่องราว ซึ่งผมยกให้โครงเรื่องของมังกรหยกว่ามันเป็นอะไรที่อมตะและคลาสสิคมากๆ และระหว่างดูเรื่องนี้ผมก็ตระหนักครับว่าตัวเองสนุกไปกับเรื่องราว แต่ในแง่ลีลาการเล่าเรื่องแล้วมันอาจจะไม่ได้มีอะไรเด่นหรือพิเศษมากนัก

ขออธิบายแบบนี้ครับ หนังบางเรื่องบทไม่มีอะไรเลย แต่ผู้กำกับบางคนก็สามารถบรรเลงมันออกมาให้จัดจ้านแพรวพราวและกลายเป็นสนุกได้ ในขณะที่หนังบางเรื่องบทอาจจะดีมากๆ แต่ถ้าผู้กำกับเล่าเรื่องไม่เก่งมันก็อาจกลายเป็นธรรมดาได้ ส่วนเรื่องนี้ผมมองว่าอยู่ระหว่างกึ่งกลางน่ะครับ คือบทมันดีมาก สนุกมาก เจ๋งมาก ส่วนผู้กำกับก็ถือว่ามีฝีมือ ทำหน้าที่ได้โอเคเลยที่สามารถร้อยเรียงเล่าเรื่องราวทีมีรายละเอียดต่อกันแบบลื่นๆ ได้ถึง 2 ชั่วโมงนี่ เพียงแต่ในความหมายผมก็คือ มันไม่ได้มีลีลาอะไรที่มาเพิ่มรสชาติให้หนังมันมีความสนุกยิ่งขึ้น

อีกอย่างคือด้วยความที่หนังมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ และหนังก็พยายามจะเล่าเรื่องให้ได้เนื้อมากที่สุด ก็เลยทำให้หนังอาจจะไม่ได้มีความลึกในเชิงอารมณ์มากนัก ซึ่งก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้ครับ

ดาราในเรื่องก็ล้วนคุ้นหน้าคุ้นตาสำหรับคอหนัง Shaw น่ะนะครับ แต่ยอมรับว่าแอบติดใจก๊วยเจ๋งฉบับฟู่เซิงนิดนึง คือผมรู้สึกว่าฟู่เซิงเขาดูฉลาดน่ะครับ ดูหัวไว ดูทันคน เลยทำให้ก๊วยเจ๋งเวอร์ชั่นนี้ไม่ดูซื่อหรือบื้อเท่าฉบับอื่นๆ และบางมุมหน้าของเขาก็ดูดื้อๆ อยู่บ้าง ส่วนตัวแล้วผมว่าซีนที่พี่เขาดูเป็นก๊วยเจ๋งแบบที่เราคุ้นเคยที่สุดก็คือตอนท้ายที่ประลองชิงตัวอึ้งย้ง แล้วอึ้งย้งบอกให้ก๊วยเจ๋งคำนับน่ะครับ ฉากนั้นพี่ท่านดูซื่อสไตล์ก๊วยเจ๋งที่สุดแล้วล่ะ

ส่วนการดัดแปลงเรื่องราวก็ถือว่าดีครับ หลายอย่างทำได้กระชับ และส่วนที่ชอบที่สุดสำหรับผมก็คงเป็นช่วงต้นเรื่องที่หนังเลือกจะตัดเอาตอนที่คูชูกีมีเรื่องกับ 7 ประหลาดกังหนำออกทั้งหมด อันนี้สารภาพเลยว่าเวลาดู มังกรหยก ทีไร ช่วงที่พวกพี่เขาตีกันนี่จะเป็นช่วงที่ผมอยากกรอเดินหน้าไปเร็วๆ ทุกที เพราะพวกพี่เขาใช้อารมณ์นำจนเรื่องบานปลายและวุ่นวายเกินเหตุ (ใจคิดเสมอครับว่า “ทำไมไม่คุยกันดีๆ แหม ใจร้อนจังนะวัยรุ่น 5555”)

ก็ถือว่าเป็นมังกรหยกที่น่าพอใจอยู่ครับ อย่างที่บอกนั่นแหละว่ามันเด็ดตรงเนื้อเรื่องที่เล่ากี่ครั้งมันก็ยังน่าฟังน่าติดตามอยู่เสมอ ที่แน่ๆ คือพอดูจบภาคนี้มันก็ทำให้ผมอยากดูภาค 2 ต่อโดยพลัน

สองดาวกว่าๆ ครับ

(6.5/10)