Action

ฤทธิ์มีดสั้น ลี้กิมฮวง (1981) Return Of The Sentimental Swordsman

Untitled07202

เรื่องนี้ก็มีหลายนามกรไทยครับ ชื่อดั้งเดิมสมัยออกฉายนั้นคือ ฤทธิ์มีดสั้น ลี้กิมฮวง ครั้นมายุคหลังชื่อก็มาเป็น ฤทธิ์มีดสั้น ลี้คิมฮวง ภาค 2 เพราะหนังเป็นตอนต่อจาก ศึกยุทธจักรหงส์บิน (The Sentimental Swordsman – 1977)

ในแง่ความสนุกนั้น สำหรับผมถือว่าเหนือกว่าภาคแรก สนุกทั้งเนื้อหา ฉากต่อสู้ งานสร้าง และแง่คิดปรัชญาที่ขนกันมาเป็นกระบุง

เรื่องราวเล่าต่อจากภาคแรก หลังจากลี้คิมฮวง (ตี้หลุง) ปราบโจรดอกเหมยลงได้ พี่ลี้ของเราก็พยายามเร้นกายถอนตัวจากยุทธภพ อยู่อย่างสงบเพียงลำพังพร้อมทั้งดื่มเหล้าแทนน้ำ จนร่างกายทรุดโทรม

แต่แล้วความสงบก็มีอันต้องสลายไปเมื่อมีคำร่ำลือว่ามีสมบัติมหาศาลซุกซ่อนอยู่ในซิงหยุนจวง – อันเป็นที่พำนักของลิ้มซีอิม (จิงลี่) สตรีผู้เป็นที่รักของลี้คิมฮวง ที่เขายกให้เป็นภรรยาแก่ผู้มีคุณเมื่อนานมาแล้ว – ทำให้เหล่าจอมยุทธจากทั่วสารทิศตรงดิ่งมายังซิงหยุนจวง และแน่นอนว่าพี่ลี้ของเราก็เลยต้องเผชิญหน้ากับผู้คนอย่างไร้ทางเลี่ยง

คราวนี้พี่ลี้ก็ต้องไขปริศนาว่าคำร่ำลือที่ว่านี้มาจากไหน ใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลัง

และนอกจากนี้ยังมีประเด็น “ชิงความเป็นหนึ่งในยุทธภพ” มาสร้างความปั่นป่วนให้กับชีวิตพี่ลี้อีกครับ ประมาณว่าในยุทธภพมีการจัดอันดับยอดฝีมือ แล้วพี่ลี้ของเราก็ถือเป็นยอดฝีมืออันดับ 3 ในทำเนียบ ทำให้ยอดฝีมืออันดับอื่นๆ หมายจะมาพบพาน/ประลองกับพี่ลี้สักครั้ง

ความดีของภาคนี้มีหลายประการครับ อย่างแรกเลยคือเนื้อเรื่องที่เข้มข้นขึ้น มีพล็อตหลักพล็อตรองมากมาย นอกจากที่เล่าไปแล้วก็ยังมีเรื่องของพรรคเหรียญทองของซ่านกวนจินหง (กุ๊ฟง) ยอดฝีมืออันดับ 2 ที่กำลังป่วนยุทธภพ ไหนจะมีเทพดาบซ้าย จินบ้อเมี้ย (ฟู่เซิง) ที่หมายจะสร้างชื่อในทำเนียบอีก แล้วก็ยังมีปมของอาฮุย (เอ๋อตงเซิน) ที่ในยามนี้เปลี่ยนจากจอมยุทธผู้ห้าวหาญกลายเป็นชายหนุ่มในกรงทอง อยู่กับลิ้มเซียนยี้ (Linda Chu) สตรีร้อยเล่ห์ที่มีบางสิ่งซ้อนเร้นในรอยยิ้มที่แสนอ่อนหวานของนางเสมอ

หนังเลยมีปมให้เราติดตามตั้งแต่ต้นจนจบครับ และการเดินเรื่องก็ถือว่าเร็ว ไม่ค่อยมีช่วงยืดเยื้อชวนให้เบื่อสักเท่าไร

Untitled07204

อย่างต่อมาคืองานสร้างที่ดูดี งานฉากที่สร้างได้อย่างสวยงาม หลายฉากดูแล้วสวยประหนึ่งภาพวาด ไหนจะมีการเล่นสีต่างๆ ไม่ว่าจะสีสันในฉาก หรือสีสันของเครื่องแต่งกายตัวละครที่ขับเน้นโทนของหนังให้ดูสะดุดตามากขึ้น

ฉากต่อสู้ก็นับว่าดีครับ ถ้าถามว่ายังดูเป็นคิวบู๊แบบสเต็ปอยู่ไหม? ก็ต้องบอกตามตรงว่า “ก็ยังดูเป็นสเต็ปอยู่บ้าง” แต่โดยรวมแล้วถือว่าดูมันส์ครับ อาจเพราะได้ลีลาของนักแสดง บวกกับโทนสีของเครื่องแต่งกาย และการตัดต่อที่พอดีพอเหมาะ เลยทำให้ฉากบู๊ต่อสู้ทั้งหลายดูแล้วให้ความรู้สึกมันส์และสวยงาม อีกทั้งบางกระบวนท่าของตัวละครก็บ่งบอกอุปนิสัยใจคอของคนผู้นั้นได้อย่างน่าสนใจ

อีกหนึ่งความน่าสนในของหนังต้องยกให้เหล่าดาราที่ขนกันมาแบบแน่นจอครับ นอกจากตี้หลุง, เอ๋อตงเซิน,จิงลี่ ก็ยังมีหลิวหย่ง ในบทจ้าวทวนเงิน หลู่เฟิ่งเซียง ยอดฝีมืออันดับ 5, เยี่ยหัว เป็นกระบี่เหล็กกัวซงหยาง ยอดฝีมืออันดับ 4, หยวนหัว เป็นทวนทองหน้าตาย ซีเหมินโหยว ยอดฝีมืออันดับ 8, กู้กวนจงมาเป็นซ่างกวนเฟย ประมุขน้อยแห่งพรรคเหรียญทอง, กุ๊ฟงเป็น ซ่างกวนจินหง ห่วงหงส์มังกร ยอดฝีมืออันดับ 2 ประมุขพรรคเหรียญทอง

ตามด้วยฮุ่ยอิงหง มาเป็นซุนเสี่ยวหง, Linda Chu มาเป็นลิ้มเซียนยี้ที่มาพร้อมเสน่ห์เย้ายวนในระดับที่ถือว่ารุนแรงพอดูสำหรับยุคนั้น และที่ผมชอบเป็นพิเศษคือ หลอลี่ ในบท หูปู้กุ่ย จอมเจ้าเล่ห์ที่พร้อมจะทำการค้ากับคนทั้งยุทธภพ และที่ลืมไม่ได้อีกท่านก็คือ ฟู่เซิง ในบทเทพดาบซ้ายจินบ้อเมี้ย ที่ไม่กี่ปีหลังจากหนังเรื่องนี้ออกฉาย เขาก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต

ดาราทุกคนนอกจากหน้าคุ้นแล้ว ยังมาพร้อมฝีมือที่แสดงได้อย่างสมบทบาท ไม่ว่าจะออกมากออกน้อย แต่ก็เป็นสีสันชั้นดีให้กับหนัง

และภาคนี้ถือว่าคาแรคเตอร์ของพี่ลี้และอาฮุยจะดูใกล้กับในนิยายมากกว่าภาคแรก คือพี่ลี้มาในเวอร์ชั่นคุ้นเคย คือมีสีหน้าอมทุกข์ ร่างกายอมโรค ไอโขลกๆ เป็นระยะ ส่วนอาฮุยก็ติดในห้วงบ่วงรัก (หรือบ่วงหลง) จนสูญเสียตัวตน จนตนเองเสียศูนย์ไป

Untitled07203

แต่สิ่งที่ชอบที่สุดในการดูหนังเรื่องนี้คือ หนังให้อารมณ์เหมือนเรากำลังอ่านงานของโก้วเล้งอยู่น่ะครับ หลายฉากมาสั้นๆ แบบเซนๆ และหลายตัวละครมาพร้อมคาแรคเตอร์ที่แฝงแง่คิด หลายบทพูดก็กระตุกสมองให้ไตร่ตรองตาม

อย่างชีวิตของพี่ลี้ให้ภาคนี้ ก็สะท้อนความจริงสากลของคนในยุทธภพครับ ว่าเมื่อคนเราอยู่ในยุทธภพแล้ว ยากจะเป็นตัวของตัวเอง จนพี่ลี้เปรียบตนเอง (รวมถึงมวลหมู่ชาวยุทธ) ว่าเป็นเหมือนเรือที่ล่องลอยไปตามกระแสธาร ยากจะกำหนดทิศทางที่ตนต้องการ – และเมื่อมองย้อนคิดมาที่ตัวเรา ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดคำถามว่า “แม้ทุกวันนี้ ยามที่เราอยู่ในสังคม เราเองก็มีสภาพเป็นดั่งเช่นเรือในกระแสธารหรือเปล่า?”

อีกประโยคที่ผมชอบคือตอนที่พี่ลี้เอ่ยว่า “ยุทธภพนี้ช่างแปลกยิ่งนัก… ล้างแค้นก็ต้องสู้ จะแทนคุณก็ต้องสู้” – บางครั้งความย้อนแย้งยอกย้อนในวิถีของมนุษย์ ก็ทำให้เราเห็นอะไรๆ ชัดขึ้น

ไหนจะตอนที่พี่ลี้เอ่ยว่า “ยุทธภพมีแต่ชื่อเสียง ไม่มีคำว่ายุติธรรม” – ถ้อยคำนี้เสียดสียุทธภพได้เจ็บแสบ – กล่าวคือในมุมมองของพี่ลี้จากประโยคนี้ กำลังจะบอกว่า ยุทธภพนี้ให้ความสำคัญต่อการสร้างชื่อเสียง และการสร้างชื่อนั้นสามารถทำได้โดยไม่เกี่ยงวิธี – ใครบางคนอาจสร้างชื่อได้ดังก้องทั่วหล้า โดยวิธีต่ำช้า ขลาดเขลา ไม่น่าชื่นชม

ยุติธรรมหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นสำหรับยุทธภพ แต่ “มีชื่อเสียงหรือไม่” นั่นต่างหากคือสิ่งที่ยุทธภพให้น้ำหนักและจักจารึก – ในมุมหนึ่ง บางคนอาจคิดว่า ขอสร้างชื่อเสียงก่อน แล้วพอข้ามีชื่อเสียงเมื่อไร ค่อยแต่งเติมเรื่องราวของตนเสียใหม่ ใส่ส่วนที่ดูดีเข้าไป ตัดส่วนที่ไม่งามออกไป เช่นนี้ก็ยังมิสาย…

ฉากชวนคิดต่อมาคือตอนต้นเรื่องที่ซีเหมินโหยวประลองกับกัวซงหยาง ครั้นพอซีเหมินโหยวพ่ายแพ้ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ยุทธภพนี้กว้างใหญ่ แต่กลับไม่มีที่ให้ข้ายืน” – ใครหลายคน ด่วนนิยามสิ่งที่ตนเป็น จากผลสำเร็จ-ล้มเหลวเพียงครั้งเดียว – อันว่าคนเรานั้น นิยามสรุปหนึ่งชีวิตผ่านหนึ่งการกระทำ ได้ง่ายเพียงนั้นเชียวหรือ?

Untitled07207

อีกหนึ่งเรื่องที่ผมชอบ คือเรื่องของจ้าวทวนเงิน หลู่เฟิ่งเซียง ที่ถูกจัดให้เป็นอันดับ 5 ในทำเนียบ – ในเรื่องหลู่เฟิ่งเซียงหมายจะประลองกับลี้คิมฮวงสักครั้ง แต่แทนที่จะใช้ทวนอันเป็นเหมือนยี่ห้อขึ้นชื่อของตน เขากลับเลือกใช้กระบี่ โดยเล่าให้ลี้คิมฮวงฟังว่าเขาซุ่มซ่อนฝึกกระบี่มากว่า 10 ปี

ดูถึงตรงนี้ใจผมก็เกิดคำถาม – หลู่เฟิ่งเซียงยามใช้ทวน ถูกจัดให้อยู่อันดับ 5 แล้วในยามนี้ ที่เขาจับกระบี่ เขายังอันดับ 5 อยู่ไหม? – หลู่เฟิ่งเซียงที่ไร้ทวน จะยังได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมืออันดับ 5 อยู่ไหม? หรือบัดนี้เขากลายเป็นคนไร้อันดับ? อันดับคุณค่าของเขาอยู่ที่ทวนหรือตัวตน?

หนึ่งชื่อเสียงของคนหนึ่งคน จะบอกถึงตัวตนของคนผู้นั้นได้สักกี่ส่วน – หนึ่งส่วน สามส่วน เจ็ดส่วน?

คำกล่าวที่ว่า “คนในยุทธภพ ไม่เป็นตัวของตัวเอง” อาจไม่ได้หมายความเพียงว่า “อยู่ในยุทธภพแล้ว เป็นตัวของตัวเองไม่ได้” แต่อาจยังหมายความถึง “ตัวตนในยุทธภพของคนผู้นั้น ชื่อเสียงในยุทธภพของคนผู้นั้น อาจเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของตัวตนทั้งหมด แต่คนในยุทธภพกลับตีตราพะยี่ห้อคนผู้นั้นจากมุมมองเพียงเศษเสี้ยวเสียเสร็จสรรพ”

ากคนผู้นั้นหลงไปกับยี่ห้อชื่อเสียงของตนที่ถูกปะหน้าเอาไว้ (บางทีก็โดยใครก็ไม่รู้) แล้วคนผู้นั้นจะเป็นตัวของตัวเองได้อย่างไร?

ชาวยุทธมากมายจึงมักเลือกที่จะตายจากยุทธภพ เพื่อกลับไปฟื้นคืนชีพเป็นตัวของตัวเอง – หลู่เฟิ่งเซียงก็เป็นหนึ่งในนั้น

อีกคำกล่าวของหลู่เฟิ่งเซียงที่ฟังแล้วชวนให้ใคร่ครวญคือ “ชั่วชีวิตคนเรานี้ จะมี 10 ปีให้ใช้สักกี่ครั้ง” – คนที่ใช้เวลา 10 ปีในชีวิตมาเกิน 4 ครั้งเช่นผม ฟังแล้วก็คิด คิดแล้วก็คิดอีก – เรายังเหลือ 10 ปีให้ใช้อีกสักกี่ครั้ง?

Untitled07205

เรื่องราวของฮาฮุยก็อเป็นเรื่องสอนใจสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และยังมีให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน – หากเรารักใครสักคน แล้วรักนั้นทำให้เราไม่เป็นผู้เป็นคน นั่นก็อาจเป็นสัญญาณที่เตือนให้เราควรครวญคิด ทบทวนให้ดี – นั่นเรารัก หรือเราหลง

โดยส่วนตัวผมมองว่าการที่ใครสักคนหลอกให้ใครสักคนหลงรักเพื่อตักตวงผลประโยชน์ ดีกรีความโหดเหี้ยมต้องนับว่าไม่น้อยไปกว่าคนที่จ้วงแทงทำร้ายคนด้วยอาวุธ – เพราะมันคือการหลอกเชือดเหยื่ออย่างช้าๆ เชือดอย่างซ้ำๆ ซ้ำยังไม่ใช่การทำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ มันคือการกระทำที่คนทำรู้ดี ว่าท้ายที่สุดแล้วเหยื่อจะต้องพบจุดจบที่ทรมานสาหัส – คนที่รู้ขนาดนี้แล้วยังทำ ต้องนับว่าเลือดเย็นเป็นอย่างยิ่ง

และที่ชอบเป็นพิเศษคือคำกล่าวของหูปู้กุ่ย จอมเจ้าเล่ห์พ่อค้าแห่งยุทธภพที่ว่า “ที่คนเช่นข้ายังไม่ตาย เพราะข้ารู้ว่าเงินก้อนไหนควรรับ เงินก้อนไหนไม่ควรรับ” ซึ่งก็คือพี่เขารู้จักเลือกงานครับ ใช่จะรับงานดะไปหมด งานไหนคุ้มค่าได้กำไรก็พร้อมรับ แต่งานไหนมีโอกาสตายก่อนได้ใช้เงิน หูปู้กุ่ยก็พร้อมเผ่น – ผู้ที่จะอยู่รอดในโลกนี้ได้แบบนานๆ มักจะเป็นผู้ที่มีความสามารถในการปรับตัว

ยืดหยุ่นผ่อนผัน เร็วช้าหนักเบา – บางทีชีวิตเราก็ขึ้นอยู่กับคำไม่กี่คำเหล่านี้

อยากบอกว่าแฮปปี้ครับ เป็นการดูหนังที่มีความสุขมาก ดูแล้วเข้าทาง ชอบมากมายหลายจุด ถือเป็นอีกหนึ่งหนัง Shaw Brothers ที่ผมชอบมากๆ

สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ

Star22

(7.5/10)

Untitled07206