Action

The Hunger Games: Mockingjay – Part 2 (2015) เกมล่าเกม ม็อกกิ้งเจย์ พาร์ท 2

MV5BNjQzNDI2NTU1Ml5BMl5BanBnXkFtZTgwNTAyMDQ5NjE@._V1_SY1000_CR0,0,657,1000_AL_

และแล้วเรื่องของ The Hunger Games ก็มาถึงบทสรุปครับ เมื่อแคทนิส (Jennifer Lawrence) และพรรคพวกต้องประจัญบานกับประธานาธิบดีสโนว์ (Donald Sutherland) ในขั้นเด็ดขาด ก็มีการต่อสู้ มีการล้มเจ็บล้มตายกันตามสูตร

จริงๆ ก็ปรับใจตั้งแต่ดูภาคก่อนแล้วครับว่าเรื่องราวมันก็จะออกแนวทางนี้แหละ มันคงไม่ได้มาแข่ง Hunger Games กันแบบ 2 ภาคแรกแล้ว ดังนั้นถ้าใครคาดหวังเกมล่าชีวิตแบบมันส์ๆ ลุ้นๆ ก็คงต้องปรับความคาดหวังกันล่ะครับ เพราะหนังออกแนวบู๊ ไล่ล่า โค่นทรราชย์อะไรประมาณนั้นมากกว่า

สำหรับผมแล้ว หนังก็ดูได้ครับ แต่อาจไม่ถึงกับชอบเป็นพิเศษอะไร ลึกๆ แล้วผมชอบ 2 ภาคแรกมากกว่า สำหรับภาคล่าสุดนี่ก็ถือว่าดูได้เรื่อยๆ การเล่าเรื่องก็โอเค แต่หลายๆ อย่างยังไม่สุด ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องราวนะครับ ในแง่เรื่องราวน่ะถือว่ามีการขมวดปมแบบจัดเต็มอยู่แล้ว ตัวละครบางตัวก็ต้องตายจากไป ปมหลายๆ ปมก็ได้รับการคลี่คลาย ดังนั้นในแง่บทน่ะถือว่าโอเค มีอะไรให้เล่าหลายอย่างอยู่ แต่จุดอ่อนประการหนึ่งคือการเล่าเรื่องครับ การเล่าเรื่อง การดำเนินเรื่อง มันยังไม่จับใจขนาดนั้น ความเข้มยังไม่สุดๆ และด้านอารมณ์ก็ยังไม่พีคขนาดนั้น

ผมว่าภาค 2 จะดูพีคกว่าในด้านอารมณ์นะครับ ฉากชูสามนิ้วในภาคนั้นยังจัดว่ามีพลังมากอยู่

ด้านดาราน่ะผมว่าทุกคนเวิร์กอยู่แล้ว ทุกคนแสดงได้พอเหมาะตามบทจะอำนวย งานโปรดักชั่นก็ถืปล อว่าถึงฟอร์ม แต่หากพูดถึงในแง่แอ็กชันแล้วก็ออกจะผิดคาดเหมือนกัน เพราะในตัวอย่างนั้นหนังทำเหมือนกับเราจะได้เจออะไรมันส์ๆ มีด่านแปลกๆ ให้พวกแคทนิสต้องฟันฝ่ากัน แต่สิ่งที่เห็นในหนังจริงๆ ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่เรื่องดราม่ากับปมทางการเมืองเป็นหลักมากกว่า

Untitiled05484

ก็อย่างที่บอกน่ะครับ ใครคาดหวังความตื่นเต้นหรือความมันส์แบบ 2 ภาคแรกหรือคาดหวังแอ็กชันแบบที่ตัวอย่างเอามาขายก็ต้องปรับความคิดกันหน่อย เพราะเนื้อในจริงๆ มันเป็นดราม่า ทริลเลอร์ การเมือง ซึ่งถ้าถามว่าเล่าประเด็นนี้ได้เด็ดมากไหม ก็บอกได้ว่าโอเคครับ แต่อย่างที่บอกนั่นแหละว่ายังไม่สุดสักเท่าไร

เอาเป็นว่าผมชอบภาค 2 สุดครับ รองลงมาก็ภาคแรก ส่วนภาคสรุป 2 ตอนหลังนี่อยู่ในระดับกลางๆ ไม่ถึงกับชอบมาก แต่ก็ดูได้เรื่อยๆ ไม่ถึงกับผิดหวัง (เพียงแต่ถ้าอร่อยมากกว่านี้หรือน่าสนใจเท่าภาค 2 ก็คงจะแจ๋วเลย)

โดยส่วนตัวแล้วผมว่า Francis Lawrence เป็นผู้กำกับที่มีฝีมืออยู่ครับ เพราะแกทำหนังได้เวิร์กอยู่ (เวิร์กมากเวิร์กน้อยก็ว่ากันไป แต่ส่วนใหญ่ก็คือเวิร์ก) เพียงแต่แกอาจยังไม่มีลายเซ็นต์เด่นชัด ไม่ว่าจะ Constantine, I Am Legend และ The Hunger Games 3 ภาคหลัง คือมันออกมาสนุก แต่เอกลักษณ์ชัดๆ อาจยังไม่มากเท่าไร แต่ก็เอาเถอะครับ พี่แกทำหนังใหญ่ๆ ออกมาได้ดี คุมสเกลออกมาได้โอเคก็นับว่าเก่งมากแล้วล่ะ

สรุปว่าเรื่องของแคทนิสก็จบลงแล้วนะครับ อาจเป็นการปิดฉากที่ไม่ถึงกับสุดยอดเต็มร้อย แต่ก็ไม่ถึงกับน่าผิดหวังจนเกินไป ยกเว้นถ้าไม่ชอบบทสรุปแบบนี้ก็ว่ากันไปอีกเรื่อง

แต่ดูเหมือนสตูดิโอจะไม่ยอมหยุดการสร้างหนังชุดนี้ลงง่ายๆ เพราะมีการประกาศต่ออีกแล้วว่าจะมีการทำภาคก่อนหน้าของ The Hunger Games อีก ส่วนหนึ่งผมว่าสตูดิโอก็เล็งเห็นน่ะครับว่าจุดขายจริงๆ ของหนังชุดนี้คือ “เกมล่าชีวิต ฮังเกอร์เกม” กล่าวคือการจับเอาคนแต่ละเขตมาไล่ฆ่ากันและสู้กันแบบ Battle Royale นั่นแหละที่คนอยากดู (ว่าให้ง่ายขึ้นไปอีกก็คือ เรื่องเงินน่ะไม่เข้าใครออกใครครับ 555)

ปล. (ตรงนี้อาจสปอยล์นะครับ ไม่อยากทราบข้ามไปได้เลยครับ) แต่หากว่ากันในแง่ประเด็นการเมืองก็ถือว่าน่าคิดดีล่ะครับ เรื่องของอำนาจมันไม่เข้าใครออกใคร คนไม่ซื่อหรือคนคดว่าน่ากลัวแล้ว แต่คนไม่ซื่อที่สวมตาใสนั้นไซร้น่ากลัวกว่า

และบางครั้งคนแบบหลังนี่แหละครับที่ใช้ความซื่อ ใช้อุดมการณ์ หรือใช้กระแสเป็นเครื่องมือเพื่อกรุยทางสู่ผลประโยชน์ของตน

การมองเรื่องพวกนี้ เราเลยต้องมองให้ละเอียด มองให้ครบมุม มองให้แน่ใจ เพราะการมองเพียงด้านเดียวอาจทำให้เราหลงทาง หรือตกเป็นเหยื่อของอะไรบางอย่างได้

ไม่ต้องมองอย่างเป็นกลางก็ได้ครับ เพราะกลางคืออะไรก็ตอบได้ยาก เอาเป็นว่ามองให้รู้ว่าซ้ายเป็นไง ขวาเป็นอะไร บนคืออะไร ล่างเป็นแบบไหน หน้าจะไปไหน หลังมาจากไหน เรียกว่าไหนๆ จะมองแล้ว ก็เอาให้ครบ 360 องศาไปเลย (แล้วเมื่อนั้นเราอาจจะพอเห็นรางๆ ว่า “กลาง” น่ะคืออะไร)

เขาว่ากันว่าความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว แต่ “หนึ่ง” ของเรากับของธรรมชาติ มันคือ “หนึ่ง” เดียวกันไหม?

เราอาจต้องใช้เวลาอีกพอตัวเลยกว่าจะรู้ว่า “หนึ่ง” จริงๆ มันคืออะไร มันเหมือน “หนึ่ง” ที่เราเอามาบวก “หนึ่ง” แล้วเป็น “สอง” จริงๆหรือไม่ ^_^

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)