
และแล้วเรื่องของ The Hunger Games ก็มาถึงบทสรุปครับ เมื่อแคทนิส (Jennifer Lawrence) และพรรคพวกต้องประจัญบานกับประธานาธิบดีสโนว์ (Donald Sutherland) ในขั้นเด็ดขาด ก็มีการต่อสู้ มีการล้มเจ็บล้มตายกันตามสูตร
และแล้วเรื่องของ The Hunger Games ก็มาถึงบทสรุปครับ เมื่อแคทนิส (Jennifer Lawrence) และพรรคพวกต้องประจัญบานกับประธานาธิบดีสโนว์ (Donald Sutherland) ในขั้นเด็ดขาด ก็มีการต่อสู้ มีการล้มเจ็บล้มตายกันตามสูตร
The Hunger Games: Mockingjay – Part 1 คือภาคคั่นเวลาก่อนทุกอย่างจะไปสิ้นสุดใน Part 2 ซึ่งถ้าใหสรุปคร่าวๆ แล้วก็ถือเป็นภาคที่ดูได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้มีความอลังหรือความลุ้นเท่า 2 ภาคแรก
“นักการเมืองก็ล้วนแต่พูดดีทั้งนั้นแหละ แต่เขาจะทำคุณผิดหวังไม่ช้าก็เร็ว เชื่อสิ” ไอด้า โฮโรวิทซ์ (Marisa Tomei) เหยี่ยวข่าวสายการเมืองที่คร่ำหวอดในวงการนี้ได้เอ่ยกับสตีเฟ่น เมเยอร์ส (Ryan Gosling) ตัวเอกของเรื่อง
“ความหวัง คือสิ่งเดียวที่แข็งแกร่งกว่าความกลัว”
ผมว่าพล็อตเบื้องต้นของหนังเรื่องนี้เข้าท่ามากนะครับ เรื่องของชายที่ระแวงระวังไปทุกสิ่ง ทำอะไรโดยเสี่ยงน้อยที่สุด แต่กลับต้องมารักกับหญิงสาวที่ไม่ได้มีระเบียบแบบแผนชีวิตมากมาย พูดง่ายๆ ว่าเป็นคู่ต่างครับ แต่คนดูก็คงอยากลุ้นน่ะแหละว่าจะลงเอยกันอย่างไร
Steve Martin รับบท โจนัส ไนทิงเกล ชายหนุ่มผู้มีความสามารถทางการพูดอย่างสุดยอด เขาสามารถเกลี้ยกล่อมคนให้เชื่อคำเขาได้ และงานของเขาคือตระเวนไปทั่วอเมริกา อ้างว่าตนคือผู้วิเศษ มีอำนาจมหาศาลในการรักษาโรคได้ หลอกเงินผู้คน แต่เมื่อเขาเดินทางมาถึงเมืองๆ หนึ่ง เขากลับได้พบกับคนและเหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงเขาไปตลอดกาล
สำหรับผมนี่การเขียนถึงหนังนี่เป็นความสุขชนิดหนึ่งเลยครับ แม้หลังๆ มานี่ผมจะบ่นมากหน่อยจนเหมือนคนแก่ก็เถอะ แต่มันก็ยังสุขใจครับ เหมือนกับแม้ว่าตอนดูมันจะอดหยิบโน่นหยิบนี่มาคิดไม่ได้ จนเหมือนเป็นคนคิดมาก ไม่ผ่อนคลายไปกับหนัง แต่เอาเข้าจริงๆ การดูหนังซักเรื่องจบผมจะมีอารมณ์ดีในทันที ยิ้มได้ครับ
พายุ ฝนฟ้า ลมไฟเป็นอะไรที่ไม่มีความแน่นอนครับ เกิดได้ทุกที่และสร้างความหายนะได้ไม่จำกัด เช่นเดียวกับการที่พวกสตูดิโอในฮอลลีวู้ดชอบนำเอาเหตุหายนะทั้งหลายมาสร้างเป็นหนังอยู่ประจำ ผลที่ได้ก็ไม่แน่นอนพอกันครับ ไม่รู้ว่ามันจะออกหัวหรือก้อย ที่ดังก็มีที่ดับก็มาก ก็ว่าว่างๆ จะมานั่งร่ายเลยนะครับว่ามีอะไรบ้าง ส่วนวันนี้มาว่ากันถึงเรื่องนี้ก่อน
ภาพยนตร์คุณภาพอีกเรื่องที่ได้นักแสดงโคตรเก่งอย่าง Al Pacino มาเล่น และเรื่องนี้พี่แกก็คว้าออสการ์ไปได้ หลังจากที่คั่วมาตั้งนาน กับบทผู้พันแฟรงค์ สเลด ชายตาบอดอารมณ์ร้ายผู้ที่ออกเดินทางไปตระเวนกรุงกับ ชาร์ลี ซิมส์ (Chris O’Donnell) เด็กหนุ่มหน้าอ่อน ที่รับงานดูแลผู้พันแฟรงค์ และขณะเดียวกันก็ต้องคอยมารองรับอารมณ์อันโคตรจะแปรปรวนของเขาด้วย
แม้หนังจะออกมาหลังเขาเพื่อน แต่ถ้าว่ากันตามนิยายล่ะก็ เรื่องนี้มาเป็นอันแรกนะครับ