
สิ่งแรกที่ต้องบอกก่อนเลยก็คือ Mr. Harrigan’s Phone ไม่ใช่หนังสยองขวัญนะครับ แม้หน้าหนังจะชวนให้คิดไปแบบนั้นก็ตาม เพราะเอาเข้าจริงหนังมาในแนวชีวิตผสม Coming of age ที่มีฉากหลังเป็นหนังลึกลับระทึกขวัญ
สิ่งแรกที่ต้องบอกก่อนเลยก็คือ Mr. Harrigan’s Phone ไม่ใช่หนังสยองขวัญนะครับ แม้หน้าหนังจะชวนให้คิดไปแบบนั้นก็ตาม เพราะเอาเข้าจริงหนังมาในแนวชีวิตผสม Coming of age ที่มีฉากหลังเป็นหนังลึกลับระทึกขวัญ
และแล้วเรื่องของ The Hunger Games ก็มาถึงบทสรุปครับ เมื่อแคทนิส (Jennifer Lawrence) และพรรคพวกต้องประจัญบานกับประธานาธิบดีสโนว์ (Donald Sutherland) ในขั้นเด็ดขาด ก็มีการต่อสู้ มีการล้มเจ็บล้มตายกันตามสูตร
The Hunger Games: Mockingjay – Part 1 คือภาคคั่นเวลาก่อนทุกอย่างจะไปสิ้นสุดใน Part 2 ซึ่งถ้าใหสรุปคร่าวๆ แล้วก็ถือเป็นภาคที่ดูได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้มีความอลังหรือความลุ้นเท่า 2 ภาคแรก
The Mechanic เรื่องนี้ถือว่ามันส์พอตัวครับ
Horrible Bosses น่าจะเป็นหนังที่สะกิดใจคนทำงานได้หลายอยู่ครับ เพราะว่าด้วย 3 ตัวเอกที่เจอเจ้านายสับโขก จ้องจะเอาเปรียบสารพัดตั้งแต่เรื่องงานยันเรื่องเพศ เลยทนไม่ไหว วางแผนเอาคืนมันซะเลย
กำกับโดย Mikael Salomon (Hard Rain) จากนิยายสุดดังของ Stephen King นะครับ ซึ่งเคยทำเป็นหนังทีวีมาแล้วรอบหนึ่ง กำกับโดย Tobe Hooper ซึ่งผมชอบฉบับนั้นนะ แม้จะไม่ได้ถึงขั้นยอดเยี่ยมเท่าตัวนิยาย แต่ก็น่าติดตาม น่ากลัว กำลังเหมาะทีเดียว สำหรับผู้ที่สนใจสามารถตามไปอ่านรีวิวฉบับนั้นได้ เพียงคลิ้กตรงนี้นะครับ
“ความหวัง คือสิ่งเดียวที่แข็งแกร่งกว่าความกลัว”
ในแง่ความบันเทิง The Hunger Games ตอบโจทย์ได้ดี เพราะมีทั้งพล็อตชวนติดตาม มีแอ็กชันมีความตื่นเต้นชวนลุ้น และมีเรื่องให้สะเทือนใจแทรกเป็นพักๆ
ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับที่จะแนะนำให้คุณๆ ได้รู้จักกับหนังสุดฮาแน่นไปด้วยลูกบ้าเรื่องนี้ เพิ่งดูไปสดๆ เมื่อวานนี้เอง หลังจากควานหามานานนับ 10 ปี เลยคาบมาบอกเล่าตามระเบียบ
จากนิยายของ Michael Crichton ผู้ประพันธ์ Jurassic Park มาสู่ฉบับหนังครับ กับเรื่องราวแนวชีวิตผสมการหักเหลี่ยมหักเล่ห์กัน