
“ดูธรรมดาอย่างคาดไม่ถึง” คือความรู้สึกที่ผมมีต่อหนังเรื่องนี้ครับ
“ดูธรรมดาอย่างคาดไม่ถึง” คือความรู้สึกที่ผมมีต่อหนังเรื่องนี้ครับ
และแล้วเรื่องของ The Hunger Games ก็มาถึงบทสรุปครับ เมื่อแคทนิส (Jennifer Lawrence) และพรรคพวกต้องประจัญบานกับประธานาธิบดีสโนว์ (Donald Sutherland) ในขั้นเด็ดขาด ก็มีการต่อสู้ มีการล้มเจ็บล้มตายกันตามสูตร
The Hunger Games: Mockingjay – Part 1 คือภาคคั่นเวลาก่อนทุกอย่างจะไปสิ้นสุดใน Part 2 ซึ่งถ้าใหสรุปคร่าวๆ แล้วก็ถือเป็นภาคที่ดูได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้มีความอลังหรือความลุ้นเท่า 2 ภาคแรก
สำหรับผมแล้ว ภาคแรกถือว่าเรื่อยๆ ครับ คือดูได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้ถึงกับติดใจโปรดปรานอะไร แม้ผมจะชอบหนังแฟนตาซีประมาณนี้และหลายอย่างในหนังจะดูไม่เลว และให้ความบันเทิงได้ระดับหนึ่งก็ตาม แต่โดยรวมแล้วหนังยังจับใจขนาดนั้น
ดูจบแล้วผมถามตัวเองว่าชอบสโนว์ไวท์รสชาติไหนมากกว่ากัน ระหว่างรสภารตะผสมวนิลาหอมเนยนมกับรสโกโก้เข้มข้นบวกเข้าไปด้วยลิโพอีกขวดกว่าๆ
หนังที่นักวิจารณ์ไม่ปลาบ แต่ผู้ชมส่วนใหญ่ปลื้มครับ ซึ่งผมก็อยู่ในพวกหลังคือชอบหนังกับเขาเหมือนกัน รู้สึกแฮ้ปปี้ยามได้ดู และรู้สึกอิ่มเอมไปกับเรื่องราวหวานปนซึ้งแบบนี้
“ความหวัง คือสิ่งเดียวที่แข็งแกร่งกว่าความกลัว”
หลังจากทิ้งปมเรื่องน้ำพุแห่งความเยาว์วัย (The Fountain of Youth) เอาไว้ตั้งแต่ภาคก่อน มาคราวนี้ก็ได้เวลาสานต่อครับ กับการผจญภัยตอนที่ 4 ของกัปตันแจ็ค สแปร์โรว์ (Johnny Depp) เจ้าของลีลาอันเป็นเอกลักษณ์ไม่ว่าจะการเดิน พูด นั่ง วิ่ง ฟันดาบ กรี๊ด ดีกรีความเจ้าชู้ประตูดินชนิดหาตัวจับยาก และความสามารถในการหาเรื่องใส่ตัวบ่อยมากๆ
คาดไม่ถึงเหมือนกันครับว่าผมจะรักหนัง Love, Rosie มากขนาดนี้