
พี่น้อง Nolan นี่ดูจะขยันทำหนังและซีรี่ส์แนวสำรวจจิตใจคนจริงๆ ครับ ไม่ว่าพล็อตมันจะเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็เถอะ แต่จนแล้วจนรอดพวกพี่เขาก็จะสามารถหาเรื่อง หาแง่ หามุมมาสำรวจจิตใจคนจนได้
พี่น้อง Nolan นี่ดูจะขยันทำหนังและซีรี่ส์แนวสำรวจจิตใจคนจริงๆ ครับ ไม่ว่าพล็อตมันจะเกี่ยวกับเรื่องอะไรก็เถอะ แต่จนแล้วจนรอดพวกพี่เขาก็จะสามารถหาเรื่อง หาแง่ หามุมมาสำรวจจิตใจคนจนได้
และแล้วเรื่องของ The Hunger Games ก็มาถึงบทสรุปครับ เมื่อแคทนิส (Jennifer Lawrence) และพรรคพวกต้องประจัญบานกับประธานาธิบดีสโนว์ (Donald Sutherland) ในขั้นเด็ดขาด ก็มีการต่อสู้ มีการล้มเจ็บล้มตายกันตามสูตร
The Hunger Games: Mockingjay – Part 1 คือภาคคั่นเวลาก่อนทุกอย่างจะไปสิ้นสุดใน Part 2 ซึ่งถ้าใหสรุปคร่าวๆ แล้วก็ถือเป็นภาคที่ดูได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้มีความอลังหรือความลุ้นเท่า 2 ภาคแรก
ตอนเห็นตัวอย่างรอบแรก ผมสนใจหนังเรื่องนี้อยู่นะครับ ภาพดูงามดี (โดยเฉพาะซีนเรืองแสงแบบในโปสเตอร์นี่) ที่เหลือก็แค่รอดูว่าตัวหนังจะออกมาโอเคมากน้อยแค่ไหน
“นักการเมืองก็ล้วนแต่พูดดีทั้งนั้นแหละ แต่เขาจะทำคุณผิดหวังไม่ช้าก็เร็ว เชื่อสิ” ไอด้า โฮโรวิทซ์ (Marisa Tomei) เหยี่ยวข่าวสายการเมืองที่คร่ำหวอดในวงการนี้ได้เอ่ยกับสตีเฟ่น เมเยอร์ส (Ryan Gosling) ตัวเอกของเรื่อง
“ความหวัง คือสิ่งเดียวที่แข็งแกร่งกว่าความกลัว”
ความพยายามแก้มือครั้งที่สองของค่าย Warner Bros กับนิยายที่ชื่อ The Body Snatchers
หนังเรื่องนี้มีดีอย่างยิ่งตรงบทครับ บทที่ค่อยๆ เผยความจริงทีละนิด เผยแบบน่าติดตาม ชวนให้เราอยากรู้ว่าเรื่องมันจะไปยังไงต่อ ทั้งๆ ที่เกือบทั้งเรื่องน่ะ เหตุการณ์ก็วนซ้ำอยู่ที่เดิมๆ ตัวละครเดิมๆ ซึ่งก็คือโคลเตอร์ สตีเวนส์ (Jake Gyllenhaal) ชายที่ถูกส่งไปยังอดีต เพื่อค้นหาเหตุวินาศกรรม แต่จุดที่ทำให้น่าสนใจคือ “การตัดสินใจของคนที่แตกต่างออกไป”
หลังจากแสดงบทพยัคฆ์ร้าย 007 ไป 4 ตอน Pierce Brosnan ประกาศชัดว่าเขาจะวางมือจากบทบอนด์ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าเขาอิ่มตัวและรู้สึกแก่เกินไป (ขณะนั้นเขาก็อายุได้ 50 ปีพอดี)
เรื่องนี้ถูกใจผมด้วยเหตุผลง่ายๆ ครับ มันสะใจดี เน้นเท่ห์ เน้นลุย ครบสูตรสำเร็จ แม้พล็อตจะไม่ได้มีอะไรมากก็เถอะ