
ถ้าจะนิยามว่า Little Manhattan คือแฟนฉันฉบับอเมริกันก็คงไม่ผิดอะไรครับ เพราะโครงเรื่องน่ะมาทางเดียวกันเลย และที่สำคัญคือดูจบแล้วได้ความรู้สึกดีๆ ติดหัวกลับมาด้วย
ถ้าจะนิยามว่า Little Manhattan คือแฟนฉันฉบับอเมริกันก็คงไม่ผิดอะไรครับ เพราะโครงเรื่องน่ะมาทางเดียวกันเลย และที่สำคัญคือดูจบแล้วได้ความรู้สึกดีๆ ติดหัวกลับมาด้วย
และแล้วเรื่องของ The Hunger Games ก็มาถึงบทสรุปครับ เมื่อแคทนิส (Jennifer Lawrence) และพรรคพวกต้องประจัญบานกับประธานาธิบดีสโนว์ (Donald Sutherland) ในขั้นเด็ดขาด ก็มีการต่อสู้ มีการล้มเจ็บล้มตายกันตามสูตร
The Hunger Games: Mockingjay – Part 1 คือภาคคั่นเวลาก่อนทุกอย่างจะไปสิ้นสุดใน Part 2 ซึ่งถ้าใหสรุปคร่าวๆ แล้วก็ถือเป็นภาคที่ดูได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้มีความอลังหรือความลุ้นเท่า 2 ภาคแรก
ภาคแรกดูเอามันส์และภาพสวยนะครับ พอมีภาค 2 ออกมาก็อีหรอบเดียวกันครับ ยังคงดูสนุกได้แบบไม่ต้องคิดมาก ดูเอาเพลิน เหมาะสำหรับจะใช้มันปลดปล่อยวิญญาณรักการผจญภัยในตัวคุณได้อย่างดีเลยล่ะครับ
แม้ชื่อจะเหมือนนิยาย Jules Verne และพล็อตก็เหมือน แต่เนื้อในก็ได้รับการดัดแปลงให้เข้าสมัยและดูง่ายขึ้นครับ ว่าด้วยเทรเวอร์ แอนเดอร์สัน (Brendan Fraser) กับฌอน (Josh Hutcherson) หลานชายของเขาร่วมเดินทางกันค้นหาร่องรอยพ่อของฌอนที่หายตัวไปแถบเทือกเขาในไอซ์แลนด์ โดยมีไกด์สาวนามว่าฮันน่าห์ (Anita Briem นางเอกของเรื่องซึ่งน่ารักมากทีเดียวครับ) คอยนำทางไป
“ความหวัง คือสิ่งเดียวที่แข็งแกร่งกว่าความกลัว”
ในแง่ความบันเทิง The Hunger Games ตอบโจทย์ได้ดี เพราะมีทั้งพล็อตชวนติดตาม มีแอ็กชันมีความตื่นเต้นชวนลุ้น และมีเรื่องให้สะเทือนใจแทรกเป็นพักๆ