
“ดูธรรมดาอย่างคาดไม่ถึง” คือความรู้สึกที่ผมมีต่อหนังเรื่องนี้ครับ
“ดูธรรมดาอย่างคาดไม่ถึง” คือความรู้สึกที่ผมมีต่อหนังเรื่องนี้ครับ
ดูแล้วสรุปใจความได้เลยครับว่ามันคือการเอา Superman มาบวกกับ The Omen ได้ออกมาเป็นหนังสยองที่ตั้งคำถามใส่หน้าเราว่า “หากซูเปอร์แมนไม่ใช่คนดีล่ะ?”
และแล้วเรื่องของ The Hunger Games ก็มาถึงบทสรุปครับ เมื่อแคทนิส (Jennifer Lawrence) และพรรคพวกต้องประจัญบานกับประธานาธิบดีสโนว์ (Donald Sutherland) ในขั้นเด็ดขาด ก็มีการต่อสู้ มีการล้มเจ็บล้มตายกันตามสูตร
The Hunger Games: Mockingjay – Part 1 คือภาคคั่นเวลาก่อนทุกอย่างจะไปสิ้นสุดใน Part 2 ซึ่งถ้าใหสรุปคร่าวๆ แล้วก็ถือเป็นภาคที่ดูได้เรื่อยๆ แต่ไม่ได้มีความอลังหรือความลุ้นเท่า 2 ภาคแรก
หนังเรื่องนี้ทำให้ผมหลุดปากออกมาระหว่างดูเลยครับว่า “อะไรของมันกันเนี่ย?”
ผมชอบหนังเรื่องนี้จริงๆ ครับ… หนังสนุก น่ารัก มีอะไรให้คิด ครบรสกันไปข้างหนึ่งเลยจริงๆ
ภาคแรกทำผมประทับใจไว้เยอะครับ ดังนั้นก่อนดู Pitch Perfect 2 ผมก็แอบคาดหวังเป็นธรรมดา ไหนจะโกยเงินถล่มทลายซะขนาดนั้น (แต่โดยส่วนตัวคิดว่าที่ภาคนี้ทำเงินอย่างใหญ่ ก็เพราะบุญเก่าที่ภาคแรกสะสมไว้ส่วนหนึ่ง)
ความสุขอย่างหนึ่งของคนรักหนังอย่างผม คือการนั่งดูหนังสักเรื่องแล้วโดนใจแบบไม่คาดฝันน่ะครับ โดยเฉพาะหนังฟอร์มเล็กๆ นอกกระแสที่เราไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับมันมากนัก
Walk of Shame อาจไม่ใช่หนังฮาแตกที่ดีถึงขั้นห้ามพลาดนะครับ แต่ผมว่าถ้าจะดูเอาความบันเทิงล่ะก็ หนังตอบโจทย์ได้น่าพอใจไม่ใช่น้อยเหมือนกัน
การที่เราเอาหนังสักเรื่องมาดูซ้ำเดือนละหน ทุกเดือนตั้งแต่ได้แผ่นมา นั่นน่าจะบ่งบอกได้ว่าเรา “ตกหลุมรัก” หนังเรื่องนั้นเข้าแล้ว และ Pitch Perfect คือหนึ่งในหนังที่ผมตกหลุมรักครับ