Horror

The Faculty (1998) เดอะ แฟคคัลตี้ โรงเรียนสยองโลก

TheFaculty

เป็นหนังที่ตอนเข้าโรงนี่ผมอยากดูมากเลยครับ เพราะหน้าหนังออกแนวมนุษย์ต่างดาวบุกโลกผสมกับแนววัยรุ่น ซึ่งถ้าทำออกมาดีๆ นี่สนุกสนานแน่นอน อย่างน้อยก็ดูเพลินล่ะครับ แล้วยังได้ Robert Rodriguez แห่ง El Mariachi, Desperado และ From Dusk Till Dawn มากำกับด้วย ก็น่าสนใจล่ะครับว่าหนังจะออกมาแบบไหน

The Faculty เนื้อเรื่องคือ เมื่อจู่ๆ มีเอเลี่ยนต่างดาวที่สามารถสิงร่างของคน ควบคุมจิตใจและร่างกายคนๆ นั้นได้ ค่อยๆ แทรกซึมบุกยึดโรงเรียนเฮอร์ริงตัน ไฮสคูล ขณะที่ทุกคนไม่ได้สังเกตความผิดปกติ แต่เด็กกลุ่มหนึ่งเริ่มจับตาพบความผิดปกตินั้น ได้แก่ ซีค เทย์เลอร์ (Josh Hartnett) เด็กนักเรียนหัวดีแต่ชอบผลิตยาเสพติดมาขายให้เพื่อนนักเรียนเพื่อความสะใจ, สแตน โรซาโด (Shawn Hatosy) หนุ่มนักกีฬา, เดไลลาห์ โปรฟิตต์ (Jordana Brewster) สาวดาวโรงเรียน, สโตคลี่ย์ มิทเชลล์ (Clea DuVall) สาวแปลกฉายาลูกเป็ดขี้เหร่, เคซีย์ คอนเนอร์ (Elijah Wood) ไอ้หน้าอ่อนประจำโรงเรียนที่ชอบโดนพวกอันธพาลแกล้งทุกวัน และ แมรี่เบธ หลุยส์ ฮัทชินสัน (Laura Harris) นักเรียนหญิงหน้าใหม่ที่ย้ายมากลางเทอม

พวกเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าอาจารย์หลายคนเริ่มทำตัวแปลกๆ บางครั้งก็มองทุกคนด้วยสายตาที่น่ากลัว หรือไม่บางทีอวัยวะก็เริ่มผิดที่ผิดทาง แล้วพวกเขายังค้นพบสิ่งมีชีวิตประหลาดที่เติบโตได้เมื่อสัมผัสน้ำ… แล้วพวกเขาจะหยุดยั้งเอเลี่ยนพวกนี้ได้อย่างไรล่ะนี่

เนื้อเรื่องนี่สูตรโคตรๆ ครับ เอาแนวทางของ Invasion of the Body Snatcher กับ The Thing มาผสมเข้ากับแนวหนังวัยรุ่นประเภท The Breakfast Club ที่รวมเด็กแปลกแยกไว้ด้วยกัน แต่ยอมรับเลยครับว่าทำออกมาได้เข้าท่า สนุก ดูได้เรื่อยๆ สีสันสำคัญมาจากพลังดาราวัยรุ่นที่แต่ละเจ้านี่เล่นหนังได้เนียน มีเอกลักษณ์เด่นไปคนละแบบ คอยขโมยซีนกันบ้าง ช่วยดันกันให้เด่นบ้าง ทำให้หนังน่าติดตามขึ้นเยอะครับ ไหนจะดาราสมทบระดับหน้าคุ้น ทั้ง Salma Hayek, Famke Janssen, Piper Laurie, Robert Patrick แล้วก็ Daniel von Bargen พวกดารารุ่นเล็กนี่ทำให้หนังเดินเรื่องไปได้ ส่วนรุ่นใหญ่นี่ก็เป็นสีสันชั้นดี

ดาราเข้าท่าแล้ว เรามาดูบทดีกว่า คือหนังมันอาจจะเดาได้ไม่ยากนะครับ ตอนแรกก็แนะนำตัวละคร ก่อนจะเริ่มเผยปม เผยตัวประหลาดทีละนิดๆ จนพอพวกเขาแน่ใจว่ามีตัวบ้าอะไรโผล่มาแน่ๆ ก็เริ่มรวมตัวกัน แต่พอรวมตัวไปก็เกิดระแวงกันว่าจะมีใครเป็นหนึ่งในพวกมันแฝงตัวมาหรือเปล่า จากนั้นก็ปิดท้ายด้วยการหาทางสยบเหล่าเอเลี่ยนให้หมดสิ้นไป ด้วยอาวุธที่คาดไม่ถึง – ครบสูตรหนังแนวมนุษย์ต่างดาวบุกโลกเลยครับ

ตอนออกฉายหนังได้รับคำชมแบบกลางๆ รายได้ก็ถือว่าพอได้ (ได้ไป $40 ล้าน จากงบลงทุน $15 ล้าน) แต่ผมชอบครับ หนังถือว่าเน้นบันเทิง ดูสนุก คือถ้าคุณชอบดูหนังแนวมนุษย์ต่างดาวบุกแบบแอบๆ ซ่อนๆ ค่อยๆ แทรกซึมเนี่ย เรื่องนี้เข้าท่ามากครับ มีตื่นเต้น มีสยอง และลุ้นกันเป็นพักๆ

Rodriguez คุมหนังออกมาได้เมามันส์ดีครับ สนุกไม่แพ้ From Dusk Till Dawn ผมว่ามันก็ไม่ใช่ของง่ายนะครับ ผสมเอาหนังวัยรุ่นกับหนังเอเลี่ยนเข้าด้วยกัน แต่หนังก็ถือว่าเวิร์กครับ ฉากในโรงเรียนมันให้อารมณ์เป็นห้องเรียนอเมริกันตามแบบฉบับจริงๆ ครั้นพอเอเลี่ยนโผล่ก็ตื่นเต้น แต่โทนก็ไม่หลุดครับ ยังดูเป็นหนังว่าด้วยวัยรุ่นในโรงเรียนอยู่นั่นแหละ เพียงแต่มีความเป็นไซไฟแทรกเข้ามา ทำได้ไม่เลวครับ ซ้ำยังมีการแอบคารวะหนังเอเลี่ยนบุกยุคก่อนด้วย เช่น ตอนพูดถึง Invasion of the Body Snatcher หรือแอบแซว Steven Spielbreg ว่าทำไมชอบทำหนังมนุษย์ต่างดาวบ่อยจัง

ผมชอบฉากที่เคซี่ย์ถกกับสโต๊คลี่ย์เรื่องนี้มากเลยครับ มันดูเนียนมาก เหมือนวัยรุ่นสองคนมานั่งถกความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่สงสัย (ซึ่งพอดีมันเป็นเรื่องเอเลี่ยน) อันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เลวของนักเรียนเมืองลุงแซมนะครับ เขาจะโต้แย้งถกเพื่อเรียนรู้และหาคำตอบ พร้อมทั้งพยายามจำกัดอารมณ์ให้มีผลน้อยที่สุดเพราะเขาต้องการข้อสรุปไม่ใช่ข้อพิพาท

อันนี้เด็กไทยก็น่าลองนะครับ ถกเพื่อรู้ เอาหลายๆ หัวมาช่วยกันคิด แต่อย่าขัดขากันเอง อย่าเอาอารมณ์ตนเองเป็นที่ตั้งจะดีที่สุด

อีกฉากที่ชอบคือตอนที่ซีคกับพวกต้องรับมืออาจารย์คนหนึ่งที่โดนเอเลี่ยนสิงครับ ทำได้ลุ้นมาก ดนตรีของ Marco Beltrami ก็ยังเร้าได้มันส์อีก จังหวะมันประมาณว่าเหล่าวัยรุ่นกำลังจะเอาดาบทิ่มลงบนร่างของจอมมารน่ะครับ ให้อารมณ์ขนาดนั้นจริงๆ ยิ่งใหญ่มาก

แต่หนังมาพร่องไปนิดตรงตอนจบที่ลงง่ายไปหน่อย อุตส่าห์ลุ้นแทบแย่ ไหงวายร้ายรายใหญ่ไปง่ายจัง

แต่มาคิดอีกที ผมว่า Rodriguez แกฝากอะไรไว้ในหนังที่ทำเสมอ ส่วนมากหนังยุคแรกของเขามักจบแบบง่ายๆ นึกจะจบก็จบไม่ต้องอารัมภบทหรือแลนดิ้งให้งดงาม อยากจบจบเลย แบบ El Mariachi เป็นต้น หัวหน้าตายง่ายมาก ตอนแรกผมก็หงุดหงิดนะ จะจบเร็วทำไม แต่พอนึกไปก็อดคิดไม่ได้เหมือนกัน ว่าโลกเราจริงๆ เรื่องต่างๆ มันก็ไม่ได้เหมือนหนัง บางครั้งกว่าหนังจะจบก็ต้องบิ้วอารมณ์ ให้มันยิ่งใหญ่ แต่ในชีวิตจริงเรื่องใหญ่อาจจบง่าย หรือเรื่องง่ายๆ ก็อาจจบยากก็ได้เหมือนกัน

อาจไม่ใช่คติชีวิตที่แกแฝงไว้ แต่เราก็น่าเก็บไปคิดนะครับ บางครั้งปัญหาอาจจะใหญ่ แต่การแก้ไขก็ไม่จำเป็นต้องเล่นใหญ่เท่าขนาดของปัญหา

เอาเถอะครับ ถ้าไม่คิดมากหนังก็จบแบบใช้ได้ อีกอย่างดูเพลินมาทั้งเรื่องแล้ว ตอนจบก็ไม่ถึงกับขี้ริ้วครับ แค่ง่ายเท่านั้นเอง ถ้าไม่คิดมากก็โอเคแหละ

สรุปว่าหนังออกมาสนุกเพลินดีครับ สนุก ตื่นเต้น อารมณ์กลมกล่อมใช้ได้ ตอนท้ายก็ลุ้นดี ถ้าไม่นับจุดจบของหัวหน้าเอเลี่ยนที่อาจจะลงเอยง่ายไปนิด ผมว่าหลายคนน่าจะพอใจครับ

สองดาวครึ่งได้ครับ

Star22

(7/10)