คอหนังแอ็กชันที่เป็นแฟนผลงานของ Bruce Willis ย่อมจำได้ดีว่า Tears of the Sun แท้จริงแล้วคือชื่อตอนสำหรับต่อสร้อยห้อยท้ายหนัง Die Hard ภาค 4 นั่นเอง
ข่าวว่าจะทำ Die Hard 4 นั้นเกิดมานานตั้งแต่ภาคสามประสบความสำเร็จแล้วครับ เรียกว่าก่อนพี่ Bruce แกจะมาเล่น Armageddon ซะอีก แต่จนแล้วจนรอดก็มีโปรเจคท์อื่นมาแทรกทุกที แล้วพอช่วงไหนเฮีย Bruce ของเราแกว่างก็ดันเกิดเหตุประมาณว่าหนังที่เล่นไปดันไม่ค่อยจะทำเงินเท่าไร นายทุนเลยชะงักโครงการไว้ก่อน เล่นเอากว่า Die Hard 4 จะได้กำเนิดนี่ก็ล่อไปเป็น 10 ปีทีเดียว
และอันที่จริงโปรเจคท์หนังเรื่องนี้ก็มีการเขียนขึ้นมาโดยหมายมั่นว่าจะให้เป็นตอนที่ 4 ของ Die Hard นี่แหละครับ เนื้อเรื่องประมาณว่านายจอห์น แม็กเคลนลงภาคสนามไปปฏิบัติการช่วยตัวประกันซึ่งก็คือชาวบ้านที่บริสุทธิ์ซึ่งอยู่กลางสงครามกลางเมือง แต่พอเขียนไปเขียนมา พี่ Bruce เองนั่นแหละที่รู้สึกว่าบทสไตล์นี้ถ้าให้ตัวเอกเป็นนายแม็กเคลนมันออกจะเกินจริงไปหน่อย เพราะถึงขนาดลงสนามไปช่วยชีวิตชาวบ้านที่บริสุทธิ์เนี่ย มันออกแนว Rambo มากกว่าจะเป็น Die Hard
ทำให้บทถูกดัดแปลงให้ตัวเอกเป็นหัวหน้าหน่วย SEAL ที่ทำทีมลงไปช่วยประชาชนแทน แบบนี้ค่อยดูเหมาะหน่อย ส่วน Die Hard 4 ไว้ค่อยหาบทดีๆ อีกทีก็แล้วกัน ซึ่งขณะนั้นเองทาง Fox เจ้าของสิทธิ์ Die Hard ก็เริ่มต้องการจะสร้าง DH ขึ้นมาสักที เลยติดต่อมาที่พี่ Bruce ว่าสนใจจะกลับมาหรือยัง ตอนนั้นพี่แกก็ยังรีๆ รอๆ เพราะบทดีๆ น่ะยังไม่มา เลยเล่นตัวนิดหน่อยพร้อมเอ่ยปากไปว่า ถ้ายอมให้เอาชื่อสร้อย Tears of the Sun มาใช้กับหนังเรื่องนี้แล้ว รับรองว่าเขาจะกลับไปเล่นบทจอห์น แม็กเคลนอย่างแน่นอน
… ขอแค่นี้มีหรือที่ Fox จะไม่ยอมให้ แค่ชื่อสร้อยเท่านั้นเองจะไปกลัวอะไร
พี่ Bruce รับบทผู้หมวด เอ. เค. วอเตอร์ส ผู้นำทีมหน่วย Navy SEAL ที่ถูกส่งมายังไนจีเรีย ภารกิจคือการช่วยเหลือนำพา ดร.ลีน่า ฟิโอเร่ เคนดริกส์ (Monica Bellucci) แพทย์อเมริกันที่ไปติดอยู่ใจกลางสงครามในแอฟริกันตะวันตก ซึ่งการเข้าไปหาตัวดร.ลีน่านั้นไม่ยากเท่าไร แต่ตอนพากลับออกมานั้นเรียกว่าหินเข้าขั้น เริ่มจากการที่ ดร.ลีน่าไม่ยอมออกจากที่นั่นเป็นอันขาดเพราะเธอยังมีผู้ป่วยและชาวบ้านลูกเด็กเล็กแดงต้องดูแลอีกมากมาย เธอยื่นคำขาดว่าจะไม่ยอมทิ้งพวกเขาไปเป็นอันขาด ถ้าหากเหล่าทหารต้องการให้เธอกลับออกไปโดยใจสมัคร ก็ต้องรับปากพาชาวบ้านเดินทางฝ่าวงล้อมออกไปด้วย
ซึ่งการป้องกันคนๆ เดียวไม่ใช่งานยาก แต่หากต้องป้องกันชาวบ้านเป็นสิบๆ คนนั้น ภาระและอันตรายก็จะเพิ่มขึ้น ความรับผิดชอบก็ต้องมาเป็นเท่าทวี อีกทั้งพวกกองทหารใจโหดที่กำลังตามฆ่าผู้อพยพและชาวบ้านทุกคนที่บังอาจแข็งข้อหรือหาทางหลับหนีออกจากที่นั่น งานนี้นายทหารลูกน้องของวอเตอร์สทุกคนจึงต้องเผชิญศึกหนักอย่างหมดทางเลี่ยง
โดยรวมทั่วไปหนังออกมาดีครับ น่าติดตาม ออกรสและไม่น่าเบื่อ ซึ่งก็ขอเอ่ยปากชมผู้กำกับ Antoine Fuqua ซึ่งพัฒนาการของผู้กำกับรายนี้ถือว่าดีขึ้นตามลำดับ หลังจากไปไม่ได้ไกลนักกับ The Replacement Killers และ Bait พี่ท่านก็ได้รวมสมาธิผนึกกำลังกับดาราอย่าง Denzel Washington จนทำให้ Training Day กลายเป็นงานคุณภาพขึ้นมาได้ เรื่องนี้ก็จัดว่าสนุกเด็ดพอตัวครับ มุมกล้องการถ่ายภาพก็ออกมาดูดี ดูรู้เรื่อง พวกปัญหาประมาณว่าถ่ายากรบกันแล้วกล้องจะตัดต่อไม่รู้เรื่องนี่หายห่วงครับ หนังดูโอเคอย่างยิ่ง ช่วงท้ายก็มีลุ้นตามแบบฉบับของหนังสงครามว่าพวกพระเอกจะตายมากน้อยแค่ไหน
ไม่ใหม่ แต่ก็ถือว่าถึงเครื่องสำหรับคอหนังสงคราม ชนิดที่ถ้าชอบ We Were Soldiers ก็น่าจะโอเคกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยากเย็น
ประเด็นดีๆ ที่หนังกล่าวถึงคือเรื่องของ “หน้าที่ที่ได้รับมา” กับ “คุณธรรม” เพราะตัวเอกของผู้หมวดวอเตอร์สนั้น ได้รับคำสั่งโดยตรงว่าช่วยเฉพาะ ดร.ลีน่าคนเดียว คนอื่นห้ามเด็ดขาด เหตุผลจริงๆ ไม่เชิงว่าเป็นเพราะใจจืดใจดำครับ แต่เพราะว่า หากพวกวอเตอร์สคุ้มกันเฉพาะดร.ลีน่ากับคนสองสามคน การระแวดระวังย่อมดีกว่า ดูแลได้อารักขาได้ง่ายกว่า แต่หากต้องพาคนมาทั้งหมู่บ้านก็เท่ากับลดโอกาสความสำเร็จของภารกิจ อย่าว่าแต่จะพาดร.ออกมาได้เลยครับ แค่ทหารหาญก็อาจต้องสิ้นใจกลางสนามรบก็ได้ เพราะทหารกำลังจะได้รับผิดชอบหน้าที่ที่ “เกินกำลัง” ของตน
มองในแง่นี้ก็เห็นใจวอเตอร์สกับพวก และเขาใจมุมมองของผู้บัญชาการเหมือนกัน
แต่กระนั้น แม้จะเข้าใจในหลักการและทฤษฎี แต่หากภาคปฏิบัติว่าด้วยการช่วยชีวิตคนแล้ว หากต้องมีการแหวกตำราแหกกฎกันบ้างก็ถือว่าคุ้มค่า
เราทำให้ใครสักคนมีชีวิตรอด ย่อมมีคุณค่าเสมอ
แม้จะรู้ว่าตามสูตร พระเอกต้องยอมช่วยชีวิตคนแม้จะขัดกับคำสั่งก็เถอะ แต่ก็อดชื่นชมตัวละครอย่างผู้หมวดวอเตอร์สไม่ได้ เพราะตอนที่แกตัดสินใจช่วยก็ช่วยแบบเต็มกำลังไม่มีกั๊กใดๆ แบบนี้น่าชื่นชมอย่างแรงจริงๆ
ดังนั้น หน้าที่กับคุณธรรม จริงๆ แล้วไม่ต้องมีอันไหนนำอันไหน แต่ขอให้ไปด้วยกัน บรรจบกันอย่างลงตัวมีเหตุผลมันก็คงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ถือว่าหนังมีความสนุกและได้อารมณ์เข้มสไตล์หนังสงคราม ส่วนการแสดงของพี่ Bruce ก็ถือว่าดี ในขณะที่ Bellucci ยอดหญิงเจ้าเสน่ห์ที่ดังแล้วดังอีกจาก The Matrix สองภาคหลังก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ผู้หญิงคนนี้มีดีมากกว่าความสวยครับ พวกการแสดงออกอารมณ์นั้นเธอก็ทำได้ดีไม่แพ้ความเซ็กซี่ที่มีอยู่
สวย เซ็กซี่ มีความสามารถ สามอย่างนี้ผู้หญิงสวยๆ หรือดาราบ้านเราหลายคนหากจะเดินตามรอยก็ไม่ผิดกติกา แต่ขอให้ครบทั้งสามอย่าง ไม่ใช่แค่เซ็กซี่ เซ็กซี่ และเซ็กซี่… อยากดังนาน ต้องมีดีให้คนรักนานๆ เช่นกัน
เป็นหนังสงครามที่ดูแล้วไม่ผิดหวัง คุ้มที่จะชม แต่หากถามว่าชอบหนังมากไหมก็บอกได้เลยว่าชอบเป็นส่วนใหญ่ยกเว้นอย่างเดียว
… ไม่ชอบเลยที่ต้องมาเห็นมนุษย์ด้วยกันฆ่ากันเองเพราะไฟสงครามหรือความขัดแย้ง… อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อใดมนุษย์จะเข้าใจว่า สามัคคีและสมานฉันท์หนอ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:Action, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Thrillers, War