นี่คือผลงานหนังโรงใหญ่เรื่องที่ 3 จากค่าย DreamWorks ที่ตอนนั้นยังเป็นน้องใหม่ในวงการอยู่ และชาวบ้านก็จับตากันว่าค่ายนี้จะอยู่รอดแค่ไหน เพราะคนอยู่เบื้องหลังคือ Steven Spielberg เลยนะครับ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าพ่อมดฮอลลีวู้ดเจ้านี้จะไปได้ดีแค่ไหน
และที่ทำให้ผมจับตาหนังเรื่องนี้ตอนมันฉายก็เพราะ หนังทำเงินไป $60 ล้าน ซึ่งไปๆ มาๆ กลายเป็นว่านี่คือผลงานทำเงินที่สุดของค่ายในตอนนั้น เอาชนะหนังใหญ่สองเรื่องแรกอย่าง The Peacemaker และ Amistad
ไอ้ชนะเรื่องแรกน่ะไม่มีใครว่า แต่เล่นโกยชนะเรื่องหลังที่กำกับโดย Spielberg นี่แหละ เล่นเอาคนฮือฮากันไปหลายเดือน เพราะคนกำกับก็หน้าใหม่ ไม่เหมือนสองเรื่องแรกที่คนทำหน้าเก่าในวงการ (เรื่องแรกกำกับโดย Mimi Leder แห่งซีรี่ส์ ER)
ตัวหนังนั้นว่าด้วยสองพี่น้องตระกูลสมันช์ เออร์นี่ย์ (Nathan Lane) และ ลารส์ (Lee Evans) ที่ได้รับมรดกเป็นบ้านเก่าๆ หลังหนึ่งจากคุณพ่อ ซึ่งทั้งคู่ต้องเข้ามาอยู่ แต่พออยู่ไปก็พบความจริงว่าบ้านหลังนี้ออกแบบโดย ชาร์ลส ไลล์ รารูห์ สถาปนิกและนักศิลปะชื่อดังในอดีต บ้านเลยมีราคาค่างวดสูงขึ้นมาทันที ส้มเลยหล่นใส่สองพี่น้องดังอั๊กใหญ่ๆ
แต่ก็เกิดปัญหาเล็กๆ จนได้ เมื่อพวกเขาพบว่ามีหนูตัวจิ๋วที่อาศัยอยู่ในบ้านนี้มานานแล้ว ซ้ำยังแสบถึงพริกถึงขิงอีกด้วย สองพี่น้องเลยเห็นตรงกันว่าต้องหาทางเอามันออกไปนอกบ้านให้เร็วที่สุด คนที่มาซื้อบ้านจะได้ไม่เปลี่ยนใจ แต่ที่ไหนได้ ไอ้หนูนี่เก่งเกินคนครับ หนีได้ เอาตัวรอดได้สารพัด สองพี่น้องเลยต้องงัดทุกกลยุทธ์กำจัดหนูออกไปให้พ้นบ้าน
ดูแล้วนึกถึง Home Alone เหมือนกันนะครับ มันก็ออกแนวนั้นน่ะ ตัวหนังก็สนุกใช้ได้เหมือนกัน ฮาดีน่ะครับ แต่ที่ผมประทับใจเป็นพิเศษคือการออกแบบภาพ สไตล์ของประกอบฉากมันดูดีไม่เหมือนใคร ดูศิลป์ผสมแฟนตาซีแต่ก็ติดดินดี ส่วนการเดินเรื่องก็เน้นสนุกเน้นฮาเป็นหลักครับ ในหนังก็มีมุกเดิมๆ แต่ได้ผล อย่างการที่สองพี่น้องวางกับดักไว้งับหนู แต่ดันโดนเล่นเองซะนี่ มุกสไตล์นี้เด็กดูได้ครับ ผู้ใหญ่อย่างผมก็เพลินดี
Lane กับ Evans เล่นเข้าคู่เป็นพี่น้องจอมโง่ได้เฉียบครับ คนพี่ก็ร้ายแบบตลกๆ ส่วนคนน้องก็ฉลาดน้อยดีจริงๆ แต่คนที่ขโมยซีนจริงๆ คือ Christopher Walken ที่มารับบทเป็นซีเซอร์ นักปราบหนูมือโหดที่ดูเหี้ยมจริงจังแบบต๊องๆ ดูไปก็ขำดีครับ
หนังยังแอบหยอดแง่คิดดีๆ ไว้ด้วยนะครับ ในบทสรุปของเรื่องหลังจากคนกับหนูตีกันไปพักใหญ่ๆ ก็ค่อยลงท้ายว่า อันที่จริงแล้วการอยู่ร่วมกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยระหว่างคนกับธรรมชาติมันย่อมดีกว่าระรานไล่เหยียบกันเป็นไหนๆ แม้หนังจะเก่าตั้งสิบกว่าปีมาแล้ว แต่แง่คิดนี้ก็ไม่เลวนะครับ ผมรู้สึกดีเสมอที่ได้ดูหนังที่บอกให้คนอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างนี้น่ะ
ส่วนคนกำกับก็คือ Gore Verbinski ครับ และนี่คืองานแรกของเขา ซึ่งผมก็จับตาเขาทันทีนะครับ กะแล้วว่าต้องเป็นคนดีมีฝีมือ เพราะ Mousehunt เนี่ยสนุกตลกก็จริง แต่ก็ดูเพลินได้สาระดีด้วย แล้วไงล่ะครับ กาลต่อมาพี่ท่านก็ได้ทำ The Mexican, The Ring ก่อนจะตามด้วยไตรภาค Pirates of the Caribbean อืมม์ เขาเก่งเอาเรื่องจริงๆ ครับ เก่งในเรื่องการผสมหนังหลายอารมณ์เข้าด้วยกัน กับสไตล์ภาพแบบสวยๆ ศิลป์ๆ แบบไม่ติสจนเกินไป
ไม่รู้ว่าดูกันหรือยัง ถ้ายังก็ลองได้นะครับ สนุกสนานไม่เลว ดูแบบแก้เบื่อแก้เครียดได้ไม่เลวเหมือนกัน เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ก็ไม่มีปัญหาครับ ขอเพียงอย่าคิดมาก อย่าเอาเหตุผลนะครับ ไม่งั้นะหงุดหงิดว่าหนูบ้าอะไรเก่งระดับเทพขนาดนั้น ฉลาดกว่าคนด้วยซ้ำ อิอิ ผมว่ามันก็กระตุ้นให้เราระลึกดีเหมือนกันนะครับว่าอย่าดูถูกธรรมชาติหรือสิ่งมีชีวิตที่ตัวเล็กกว่า มันอาจมีดีกว่าที่คิดก็ได้
สองดาวกว่าๆ ครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Comedy