Action

Outbreak (1995) วิกฤติไวรัสสูบนรก

1361643260

กิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งในช่วงนี้ก็คือขุดเอาหนังเก่าๆ ที่ชื่นชอบในอดีตมาดูเพื่อรำลึกความหลัง ขณะเดียวกันก็เพื่อพิสูจน์ด้วยว่าหนังที่เราว่าชอบว่าดีในตอนนั้น พอมาถึงตอนนี้ดีกรีความปลื้มจะยังคงเดิมอยู่หรือไม่

และส่วนใหญ่ก็พบว่า หนังเรื่องไหนที่เราโปรดเมื่อเป็นสิบปีก่อน พอเอามาดูใหม่ ความรู้สึกชื่นชอบก็ยังไม่หายไปไหน อาจมีชอบน้อยลงบ้าง มากขึ้นบ้าง แต่รวมๆ แล้วก็ยังคงยกให้เป็นหนังโปรดในดวงใจต่อไป

หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องนี้ครับ Outbreak วิกฤติไวรัสสูบนรก

จำได้ว่าหนังเรื่องนี้ฉายในช่วงที่ทั้งโลกกำลังตื่นตระหนักเกี่ยวกับเชื้อไวรัสอีโบล่าที่ถือว่ามีความร้ายแรงถึงชีวิต สำหรับในหนังก็ว่าด้วยเชื้อร้ายที่ชื่อ “โมทาบ้า” ที่ถือกำเนิดที่ซาร์อี (หรือแซร์ ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อเป็นคองโกไปเรียบร้อยแล้ว) เชื้อที่ว่านี้ติดต่อกันได้ทางการสัมผัส และผู้ที่ติดเชื้อจะตายอย่างช้าๆ ในเวลาไม่นาน เนื่องจากเหล่าไวรัสจะแพร่ขยายพันธุ์และกัดกินทุกเซลล์ในร่างกาย

ทีนี้พระเอกของเรา ผู้พันแซม แดเนี่ยลส์ (Dustin Hoffman) ก็ได้พบกับฤทธิ์ของไวรัสตัวนี้ เขาจึงพยายามแจ้งกับผู้บังคับบัญชาอย่างท่านนายพลบิลลี่ ฟอร์ด (Morgan Freeman) ให้มีการสั่งเตรียมพร้อมเอาไว้ และเดินหน้าศึกษาไวรัสตัวนี้อย่างเต็มที่ เพื่อป้องกันไม่ให้มันแพร่ระบาด หรือหากมันแพร่ระบาดขึ้นมาจริงๆ ก็จะได้หายาแก้ไวรัสตัวนี้ได้ทัน แต่ท่านนายพลกลับนิ่งเฉย ไม่รับรู้และไม่อนุมัติใดๆ (ท่ามกลางความสงสัยของแซม) และคิดว่าไวรัสตัวนี้ไม่มีทางมาถึงแผ่นดินอเมริกาได้… แต่ท่านนายพลคิดผิดอย่างแรง

แล้วเจ้าไวรัสโมทาบ้าก็มาถึงอเมริกา ทำให้ผู้พันแซมต้องร่วมมือกับร็อบบี้ (Rene Russo) ภรรยาเก่าในการยับยั้งหายะครั้งนี้ให้ทัน ก่อนมันจะแพร่ไปคร่าชีวิตคนอเมริกันทุกคน

ผมไม่แน่ใจว่าดูเรื่องนี้ไปกี่รอบแล้วนะครับ ทั้งตอนออกวีดีโอ (ไม่ได้ไปดูในโรงครับ) แล้วก็ดูซ้ำ เวลา HBO เอามาฉายก็ดู รวมรอบล่าสุด น่าจะไม่ต่ำกว่า 10 รอบได้ แต่กระนั้นความชอบก็ยังคงอยู่ครับ เป็นหนังแอ็กชันผสมทริลเลอร์ที่ดูสนุก อาจมีช่วงที่เดินเรื่องช้าไปบ้าง แต่ก็จัดว่าน้อยครับ โดยรวมหนังก็ถือว่าตื่นเต้น น่าติดตาม ช่วงท้ายก็ลุ้นกันหลายต่อมาก นอกจากนี้หนังยังมีช่วงดราม่าและช่วงที่ชวนสยองแทรกลงมาอย่างพอเหมาะ

ก็ต้องขอชมผู้กำกับ Wolfgang Petersen ด้วยล่ะครับที่คุมหนังได้อยู่มือ และระยะนั้นงานของพี่แกก็มีแต่เจ๋งๆ ทั้งนั้นครับ ไม่ว่าจะ In the Line of Fire แล้วก็มี Air Force One เรียกว่าหนังแอ็กชันผสมความระทึกนี่ต้องยกให้เขาจริงๆ ครับ

ดาราก็ระดับคุณภาพครับ ทั้ง Hoffman, Freeman, Russo แล้วก็ยังมี Kevin Spacey ในบท เคซี่ย์ เพื่อนสนิทของแซม, Cuba Gooding Jr. รับบท ซอลท์ ผู้ช่วยของแซม, Donald Sutherland กับบทนายพลโดนัลด์ แม็กคลินท็อก ที่เล่นได้เลือดเย็นสมบทบาทสุดยอด และ Patrick Dempsey ในบทจิมโบ้ สก็อต หนึ่งในคนที่ทำให้เชื้อร้ายเข้ามาสู่อเมริกา (โดยไม่เจตนา)

SVOD-DI-Outbreak

ดาราดี ผู้กำกับดี เนื้อเรื่องน่าสนใจ การเดินเรื่องก็น่าติดตามไม่เลว ดนตรีประกอบโดย James Newton Howard ก็เร้าใจได้โล่ห์ ยิ่งช่วงไคลแม็กซ์นี่มันทำให้ลึ่นได้มากจริงๆ

หนังมีครบทั้งความระทึกตื่นเต้น และสาระชวนคิดดีๆ ครับ อย่างการมาของไวรัสโมทาบ้านั้น จริงๆ แล้วเหตุนี้จะไม่เกิดถ้าคนเราไม่เบียดเบียนธรรมชาติ ไม่โลภ เพราะว่าตามจริงแล้วของในป่าเราไม่รู้หรอกครับว่ามันจะมีเชื้ออะไรมากน้อยแค่ไหน ยิ่งของในป่าลึกยิ่งต้องระวัง

แต่หากเราดันทุรังจะเอาของในป่าลึกออกมาให้ได้เพื่อทำเงินให้ตนเอง ก็เผื่อใจไว้เถอะครับว่าอาจมีอะไรบางอย่างติดเจ้าของนั้นของมาด้วย ผมไม่ได้หมายถึงอาถรรพ์อะไรนะครับ หมายถึงเชื้อโรคที่เราไม่รู้จักนี่แหละ จริงๆ ก็ชวนให้คิดเหมือนกันว่าสมัยก่อนที่เรามักได้ยินข่าวอาถรรพ์ของจากในป่า หรือของจากขุมทรัพย์อะไรก็ตาม ว่าคนได้มาแล้วต้องตายไป จริงเชื้อร้ายก็เป็นอีกหนึ่งความเป็นไปได้เหมือนกัน

หากมองในมุมนี้ อดคิดไม่ได้ครับว่าบางครั้งธรรมชาติอาจมีเชื้อโรคร้ายกาจเอาไว้เพื่อกำราบมนุษย์ หรือไว้เพื่อเป็นสัญญาณเตือนว่า “อย่าได้ล้างผลาญครอบครองมากเกินไปเลย มนุษย์เอ๋ย”

ขณะเดียวกันที่ขาดไม่ได้สำหรับหนังแนวนี้ในสมัยนั้นก็คือเรื่องประมาณว่า “ทหารรู้บางสิ่งโดยที่ไม่บอกใคร” และ “การบ้าผลิตอาวุธเพื่อความก้าวหน้าของประเทศ” อย่างในเรื่องนี้ไวรัสก็สามารถทำเป็นอาวุธได้… แต่หากกว่าจะได้อาวุธนั้นมาเพื่อใช้ปกป้องคนอเมริกัน ทว่ากลับต้องแลกมาด้วยชีวิตและเลือดคนอเมริกันมากมาย… อาวุธแบบนี้ยังถือว่าดีน่าใช้ได้อีกหรือ

ในยุคหนึ่ง การเป็นที่หนึ่งเหนือใคร การช่วงชิงเพื่อให้ได้มาอาจเป็นแนวทางที่ “เชื่อกันว่า” นั่นแหละจะนำความสงบมาสู่คนหมู่มาก… แต่ประวัติศาสตร์ได้สอนเราแล้วว่า การอยู่ร่วมกันให้ได้ ช่วยเหลือให้ได้ นั่นต่างหากคือหนทางที่จะนำพาให้รอด

สำหรับขั้นตอนการสร้างหนังเรื่องนี้นั้น ก็เริ่มจากการที่ผู้อำนวยการสร้าง Arnold Kopelson ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากจาก The Fugitive เกิดสนใจบทความเกี่ยวกับไวรัสระบาดที่ชื่อ Crisis in the Hot Zone แล้วเขาก็หมายมั่นว่าจะนำเอาวัตถุดิบนี้มาสร้างเป็นหนังโดยวางตัวให้ Harrison Ford แสดงนำ จากนั้นก็ติดต่อ Richard Preston เจ้าของบทความเพื่อจะได้ให้มาร่วมงานกัน แต่ทีนี้ระหว่างคุยกันก็มีผู้อำนวยการสร้างอีกคนที่ชื่อ Lynda Obst มายื่นข้อเสนอที่น่าสนใจกว่าให้กับ Preston แล้วบวกกับการที่ Ford มาบอกปัดไม่นำแสดงในหนังเรื่องนี้อีก ทำให้ Preston หันหัวเรือไปหา Obst แทน

Crisis in the Hot Zone เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นเมื่อ Obst ประกาศความคืบหน้าว่า Robert Redford และ Jodie Foster เข้าชื่อจะมาแสดงนำให้ บวกกับมีชื่อ Ridley Scott จะมากำกับด้วย เรียกว่าข่าวการสร้าง Hot Zone คืบหน้าอย่างรวดเร็ว แต่กระนั้น Kopelson ก็ยังไม่ยอมแพ้ครับ ยอมควักเงิน $250,000 เพื่อปั้นบทหนังเรื่องนี้พร้อมติดต่อ Wolfgang Petersen ให้มากำกับพร้อมมอบตำแหน่งอำนวยการสร้างให้อีก พอ Petersen รับปาก Kopelson ก็ติดต่อให้ Ted Tally แห่ง The Silence of the Lambs ให้มาเกลาบท

ไปๆ มาๆ กลายเป็นว่างานสร้าง Outbreak กลับไปได้ไวกว่า Hot Zone ครับ เพราะในขณะที่ทาง Hot Zone ทีมงานต้องมาเจรจากับ Redford และ Foster ใหม่อีกหน ทางกองถ่าย Outbreak ก็เดินหน้าไปไกลถึงขั้นตอนเตรียมถ่ายทำ โดย Kopelson ได้ไปขอแรงให้ Carrie Fisher มาช่วยเกลาบทพร้อมชูรสบทสนทนาให้กับตัวละครโดยรับค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ $100,000 พร้อมทั้งสั่งผลิตโปสเตอร์ออกมาเรียกน้ำย่อยผู้ชม

ทีนี้พอ Outbreak สู่ขั้นตอนการสร้าง ทาง Hot Zone ก็ร้อนๆ หนาวๆ ครับ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปทั้งผู้กำกับและนักแสดงต่างพากันโบกมือลา จนไม่เหลือใคร ในที่สุดค่าย Fox ก็สั่งยุบโปรเจคท์ Hot Zone หลังจากที่ Outbreak ถ่ายทำไปได้ 12 วัน ปล่อยให้ค่าย Warner Bros. ประสบความสำเร็จไปพอตัวจากหนังเรื่องนี้

แต่โปรเจคท์ Hot Zone ก็ยังไม่ตายนะครับ Obst ยังพยายามดันเพื่อสร้างหนังเรื่องนี้อยู่นับสิบปี จนในที่สุดมันก็กลายเป็นซีรี่ส์ The Hot Zone ที่ทำออกมา 2 ซีซั่น – อะไรๆ มันก็ไม่แน่นอนครับ ต้องดูกันยาวๆ ถึงจะรู้ผลลัพธ์

สำหรับเรื่อง Outbreak นี้ ถือเป็นหนังอีกเรื่องที่ดูได้อย่างเพลิน อย่างมันส์ และอย่างน่าติดตาม

สองดาวครึ่งกว่าๆ ครับ

Star22

(7.5/10)