
ถือเป็นหนังแอ็กชันดราม่ารุ่นเก่าที่ทำออกมาได้ดีมากอีกเรื่องหนึ่งครับ เรียกว่าครบเครื่องทั้งการแสดงดีๆ, เรื่องราวที่น่าติดตาม, ดนตรีที่พอเหมาะ และสาระชวนคิดสะกิดหัว
ถือเป็นหนังแอ็กชันดราม่ารุ่นเก่าที่ทำออกมาได้ดีมากอีกเรื่องหนึ่งครับ เรียกว่าครบเครื่องทั้งการแสดงดีๆ, เรื่องราวที่น่าติดตาม, ดนตรีที่พอเหมาะ และสาระชวนคิดสะกิดหัว
ถ้าตีความจากชื่อไทยแล้วอาจทำให้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่านี่เป็นหนังแอ็กชันน่ะนะครับ แต่จริงๆ แล้วนี่คือหนังดราม่าเข้มข้นที่แม้จะไม่มีแอ็กชันมันส์ๆ แต่ก็มีเนื้อหาดีๆ และมีอะไรให้ลุ้นไม่น้อยเหมือนกัน
สำหรับผมแล้ว จุดเด่นของหนังชุด Kung Fu Panda คือภาพสวยๆ ของธรรมชาติแบบย้อนยุคแล้วก็เจือกลิ่นอายลายเส้นอันเปี่ยมเสน่ห์ของจีนน่ะครับ
ผมคงร่ายไม่ยาวเท่าไรสำหรับ Boychoir ซึ่งจริงๆ ก็ถือว่าเป็นหนังว่าด้วยดนตรีที่ดีเรื่องหนึ่งเลยล่ะครับ เพียงแต่มันอาจยังไม่ตรงใจผมในหลายๆ ส่วน
ว่ากันแบบไม่ยืดยาวเลยนะครับ สำหรับการกลับมารอบ 3 ของพ่อตาแสบและเขยซ่าส์ครั้งนี้ ว่าผลที่ได้ออกมานั้น ไม่ใคร่จะน่าประทับใจเท่ากับ 2 คราวก่อนสักเท่าไร ไม่ว่าจะด้านเสียงฮาหรือความสนุก
สำนวนภาษาอังกฤษที่ผมชอบมากอันหนึ่งคือ put oneself in someone’s shoes แปลตามศัพท์คือ “ใครบางคนลองไปใส่รองเท้าของอีกคน” ซึ่งความหมายก็ประมาณว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือลองไปยืนในมุม/จุดที่คนอื่นเขาอยู่ดู
ตามปกติสารภาพเลยนะครับว่าพวกหนังการ์ตูนหรือแอนิเมชั่นเนี่ยจะได้สตางค์จากกระผมก็ต่อเมื่อออกแผ่นแล้วมากกว่า ยกเว้นของเขาต้องเด็ดจริงอย่างสารพัดการ์ตูนจาก Pixar หรือโดราเอมอนตอนพิเศษ พวกนี้ไว้ใจได้ เลยกล้าไปดู แต่นอกนั้นแม้เขาจะว่าดีอย่างไรก็อดใจรอแผ่นครับ
กิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งในช่วงนี้ก็คือขุดเอาหนังเก่าๆ ที่ชื่นชอบในอดีตมาดูเพื่อรำลึกความหลัง ขณะเดียวกันก็เพื่อพิสูจน์ด้วยว่าหนังที่เราว่าชอบว่าดีในตอนนั้น พอมาถึงตอนนี้ดีกรีความปลื้มจะยังคงเดิมอยู่หรือไม่
Wag the Dog คือหนังเสียดสีการเมืองที่แสบได้ที่อีกเรื่อง ดูครั้งแรกประมาณ 15 ปีก่อน ซึ่งก็ส่งผลต่อมุมมองของผมในเรื่องสื่อ-ข่าวสาร-การเมืองพอสมควรครับ
Mad City คือหนึ่งในหนังล่มของค่าย Warner Bros. (ร่วมรุ่นกับ The Postman ของ Kevin Costner) แต่ผมดูแล้วรู้สึกชอบครับ ชอบประเด็นง่ายๆ ตรงๆ ที่หนังสื่อ