เป็นหนังแนวภัยพิบัติอีกเรื่องที่อาจจะไม่โดดเด่นแบบจัดๆ แต่ก็ดูได้พอเพลิน มีลุ้นมีตื่นเต้น มีตัวละครพร้อมคาแรคเตอร์ประจำตัว มี Special Effect ให้ตื่นตาบ้าง เรียกว่าหนังมีองค์ประกอบครบสูตรครับ
ภัยพิบัติในเรื่องเกิดเพราะแกนโลกดันขี้เกียจหมุนครับ และถ้ามันหยุดหมุนถาวรขึ้นมาโลกก็จะเกิดหายนะครั้งใหญ่ ชั้นบรรยากาศจะปั่นป่วน สภาวะอากาศจะแปรปรวน แผ่นดินจะไหว ฟ้าจะผ่า รังสีต่างๆ ก็จะสร้างความเสียหายทำให้ชาติอเมริกัน (จะเป็นชาติใดไปได้ล่ะเน้อะ) ต้องฟอร์มทีมปฏิบัติการลับขึ้นมาเพื่อเจาะลงไปยังแกนโลก และกระตุ้นให้มันหมุนอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องนี้ดูตั้งแต่ตอนเข้าโรงเลยครับ ซึ่งเพื่อนๆ ผมที่ไปดูนั้นส่วนใหญ่จะเฉยๆ เพราะจริงๆ หนังมันก็สูตรเดียวกับ Armageddon น่ะครับ แต่เปลี่ยนจากไประเบิดดาวหางเป็นเจาะมุดไประเบิดแกนโลกเท่านั้นเอง แต่ผมนั้นคงเพราะไม่คาดหวังน่ะครับ อันเป็นเรื่องปกติมากๆ เพราะถ้าไม่หวังเรื่องไหน ส่วนใหญ่ถ้าไม่เลวร้ายจนเกินรับมันก็จะอยู่ในระดับพอสนุกได้ ซึ่งกับเรื่องนี้จำได้ว่าหนังเลื่อนฉาย (ว่ากันว่าเพื่อใส่ CG ลงไปให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยยิ่งขึ้น) และมีคำวิจารณ์ลบโชยมาแต่ไกล ทำให้ระดับความคาดหวังน้อยมากครับ พอดูเลยรู้สึกโอเค
ครั้นพอเอามาดูอีกรอบก็เหมือนตอนผมดู Wild Wild West น่ะครับ หนังไม่ได้เน้นสาระไม่ได้สนุกอะไรมาก แต่มันก็คือหนังสูตรที่มีองค์ประกอบที่การันตีความเพลินในการดูพอสมควร ไม่ว่าจะดาราที่แม้จะดังระดับกลางๆ แต่ก็ฝีมือไม่น้อยหน้าใครทั้งนั้น ตั้งแต่ Aaron Eckhart, Hilary Swank, Delroy Lindo, Stanley Tucci, Tchéky Karyo และ Bruce Greenwood แต่ละคนก็เติมรสหนังให้น่าติดตามได้ไม่น้อยน่ะครับ การเดินเรื่องก็พอกล้อมแกล้ม Effect อาจไม่เนียนมากแต่ก็สร้างความตื่นเต้นได้บ้าง
แต่จุดที่อาจจะน่าเสียดายหน่อยคือการบุกใจกลางโลกซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของหนังนั้น จัดว่ายังเข้มข้นและกดดันได้อีก ยังไม่ลุ้นพอน่ะครับ คือลุ้นบ้างแต่ยังไม่มากพอที่จะทำให้คนดูจดจำได้ เพราะหนังภัยพิบัติก่อนหน้าไม่ว่าจะ Armageddon, Volcano, Deep Impact อะไรเหล่านี้เขาทำไว้โอเคค่อนข้างมาก ซึ่งอันนี้ก็เป็นปกติของหนังที่มาทีหลังน่ะครับ ถ้าไม่ดีกว่าหรืออย่างน้อยคือดีเท่าหนังที่มาก่อน หนังก็จะถูกลืมไปค่อนข้างง่าย
เป็นผลงานกำกับของ Jon Amiel ซึ่งมักทำหนังสเกลไม่ใหญ่มาก เช่น Copycat (หนังสืบล่าฆาตกรโรคจิต), Entrapment (เรื่องนี้อาจไปถ่ายทำหลายสถานที่ แต่ถ้าพูดถึงประเด็นของหนังจะค่อนข้างจำกัด) ครั้นพอมาทำหนังที่ว่าด้วยเรื่องสำคัญของทั้งโลก ผลที่ได้ก็เลยยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก ซึ่งอันนี้ไม่โทษพี่เขาเลยครับ แต่สงสัยมากกว่าว่าใครไปตามแกมากำกับ เพราะจริงๆ น่าจะมีตัวเลือกที่สวยกว่านี้อยู่หลายคน ไม่ใช่พี่ Jon แกไม่เก่งนะครับ ผมว่าเขาทำหนังสเกลไม่ใหญ่ได้โอเคทีเดียว แต่ถ้าสเกลใหญ่แบบนี้ผมว่าไม่ใช่ทางของแก
ตัวหนังจัดว่าไม่ประสบความสำเร็จในแง่ของรายได้ครับ หนังลงทุนไปประมาณ $60 ล้าน ได้คืนมา $73.4 ล้านจากทั่วโลก (ในอเมริกาทำไปเพียง $31.1 ล้านครับ) หนังเลยอยู่ในข่ายขาดทุนติดตัวแดงอยู่พอตัว
สรุปว่าดูเอาเพลินได้ครับ พอสนุกกล้อมแกล้มในฐานหนังภัยพิบัติสักเรื่องหนึ่ง ขอเพียงตั้งค่าความคาดหวังให้เป็น “เซ็ทซีโร่” คุณก็น่าจะโอกับหนังเรื่องนี้ได้ครับ
สองดาวกว่าครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Disaster Movies, Sci-Fi