รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

The Illusionist (2006) มายากลเขย่าบัลลังก์

illusionist_ver3

หนังเรื่องนี้ก็ถือโอกาสดูมันผ่านทางช่อง Star Movies ไปเมื่อกลางวันนี่เองครับ เล็งมานานจนชักจะนานเกินไป แผ่นเผิ่นก็ไม่คิดจะออกมาให้ดูกันเลย ทั้งๆ ที่ฟอร์มหนังก็น่าดูออก เอาแค่ Edward Norton มานำแสดงก็น่าดูพออยู่แล้ว อีกทั้งถ้าจะว่าไป หนังมันเข้าฉายระยะไม่ใกล้ไม่ไกลจาก The Prestige ซะอีก แนวมายากลเหมือนกัน ก็อยากรู้ลึกๆ ว่าเรื่องไหนมันจะกินขาดกว่า

ดูปุ๊บได้คำตอบแบบกำปั้นทุบดินมาจนได้ … มันดีกันคนละแบบ!

The Illusionist เปิดเรื่องโดยการเล่าถึงชีวิตของเด็กน้อยนามว่า เอ็ดเวิร์ด ลูกชายช่างทำตู้ธรรมดาคนหนึ่งที่ได้พบจอมมายากลเข้า กลที่ว่าก็สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เขาอย่างมาก เพราะจอมมายากลคนนั้นทำให้ตนเองหายไป พร้อมต้นไม้ต้นใหญ่ตรงหน้าก็อันตรธานไปด้วย …

เอ็ดเวิร์ดเลยสนใจในมายากล จนในที่สุดเขาก็เล่นกลได้อย่างน่าทึ่ง ระหว่างนั้นเองเขาก็มีโอกาสได้พบกับ ดัชเชส วอน เทสเซน เด็กสาวผู้สูงศักดิ์ ทั้งคู่ตกหลุมรักกันอย่างรวดเร็ว แต่แล้วก็ต้องมาจากกันอย่างรวดเร็วอีกเช่นกัน เมื่อถูกผู้ใหญ่จับได้

เอ็ดเวิร์ดจึงตัดสินใจออกจากบ้านตระเวนไปทั่วแคว้นเพื่อศึกษาวิชามายากล จนสิบห้าปีผ่านไป เขากลับมาในชื่อ ไอเซนไฮม์ (Edward Norton) ยอดนักมายากลที่เล่นกลได้อย่างพิสดารพันลึก อาทิสามารถทำให้เมล็ดส้มเติบใหญ่กลายเป็นต้น ใหญ่ที่เต็มไปด้วยผลส้ม โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น ชื่อเสียงของเขาเลยดังไปทั่ว จนเป็นที่สนใจของมกุฏราชกุมารเลียวโปลด์แห่งออสเตรีย (Rufus Sewell) และไอเซนไฮม์ก็ต้องพบกับความจริงว่า สาวคนรักของเขา (Jessica Biel) กำลังจะเข้าพิธีอภิเษกกับมกุฏราชกุมารรายนี้แล้ว

เรื่องราวหลังจากนี้แนะให้ดูเองดีที่สุดครับ เพราะเผยไปแล้วไม่สนุกกันพอดี

หนังเรื่องนี้ถือว่ามีรสชาติไม่เลว สนุกพอตัวครับ การเดินเรื่องทำได้น่าติดตามดี จุดสำคัญของหนังคือพลังดาราที่รับส่งกันไปตลอดทั้งเรื่อง ทุกฉากที่ Norton ปรากฏตัวเขาจะมาพร้อมพลังที่มากสุดๆ จนเชื่อได้ไม่ยากว่าพี่แกคือยอดนักมายากลระดับเทพจริงๆ ส่วน Paul Giamatti พี่รายนี้ก็มาแสดงเป็นสารวัตรอูลห์ นายตำรวจที่สนิทกับองค์มกุฏราชกุมารมาก เลยถูกส่งมาจับตามอง หาทางจับผิดกลของไอเซนไฮม์ แต่ไปๆ มาๆ เขาก็ต้องมาเจอกับเหตุการณ์ฆาตกรรม อันนำไปสู่การสืบสวนที่ทำให้เขาต้องตัดสินใจว่าจะเลือกอนาคตหรือความถูกต้องกันแน่ เรื่องความเยี่ยมในการแสดงหายห่วงครับ พี่แกแน่เสมอ

ส่วน Biel ก็มาสวยครับ น่ารักมาก แต่ความเด่นยังไม่เท่าสองคนแรก คนที่เด่นเอาเรื่องคือ Sewell รายนี้เกิดมาเพื่อรับบทร้ายแบบมีตระกูลครับ แค่แววตาก็น่ากลัวแล้วล่ะ

ที่บอกว่าหนัง The Illusionist ดีคนละแบบกับ The Prestige ก็เพราะ แม้มันจะว่าด้วยเรื่องนักมายากลเหมือนกัน แต่ใน The Prestige มันจะมีอะไรลุ่มลึกซ่อนอยู่เยอะ ไหนจะเรื่องแนวคิดหรือการใช้ทริกหลอกคน การจมลงไปกับโลกแห่งความแค้นและกลลวง คือค่อนข้างหนักน่ะครับว่างั้นเถอะ แต่ The Illusionist จะไม่ซับซ้อนขนาดนั้น ดูแล้วตามทันง่ายกว่า ขณะเดียวกันก็มีประเด็นให้ลองคิดตามไปอีกแบบ

ใน The Prestige ทำให้คนดูรู้สึกว่าการจมลงไปในโลกแห่งกล มันช่างน่ากลัวมีแต่ความมืดมัว อีกทั้งพลังแห่งกลก็พร้อมจะกลืนชีวิตผู้เล่นมันแบบไม่มีทางปล่อยออกมา แต่ใน The Illusionist ให้อารมณ์ว่าอันที่จริงแล้ว กลแม้จะดำมืดแค่ไหน สามารถกลืนคนได้ง่ายปานใด ทว่าหากผู้เล่นรู้ตัวว่าตนเล่นไปเพื่ออะไรและมีขอบเขตอยู่แค่ไหน นอกจากกลจะไม่ทำให้ผู้เล่นเป็นอันตรายแล้ว ยังมาสามารถช่วยผู้เล่นได้ดั่งใจปรารถนาอีกด้วย

ดังนั้นหากเทียบกันข้ามเรื่อง ฝีมือของ ไอเซนไฮม์ในเรื่องนี้ เหนือกว่า สองนักมายากลหยุดโลกแห่ง The Prestige ทั้งในด้านเทคนิคและจิตใจ

MV5BMTk3NTQ4MzM4MV5BMl5BanBnXkFtZTcwMzE5ODQzNA@@._V1_SX1200_CR0,0,1200,892_AL_

อันว่ามายากล หรือ กลทั้งหลาย คืออำนาจชนิดหนึ่งในโลก … โลกเรามีอำนาจอีกหมื่นแสนชนิดครับ คนเราส่วนใหญ่ก็หวังจะได้อำนาจสักอย่างมาในมือตน อำนาจเงิน อำนาจยศ อำนาจเกียรติ และอำนาจปืน … อำนาจทั้งหลายเป็นดาบสองคมที่ผู้ใช้มันมีสิทธิ์โดนมันใช้คืนได้ง่ายมาก และเมื่อมันกลืนคนผู้นั้นไปแล้ว ยากที่คนจะถอนตัวออกมาได้

คนที่โดนอำนาจกลืน จนหลงระเริง รังแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับทุกชีวิต ไม่เว้นแม้แต่ตนเอง

จุดที่ผมชอบมากคือการที่หนังแสดงผลลัพธ์ของคนที่สามารถ “ชนะ” และ “ตกอยู่ในวังวน” แห่งอำนาจ ได้อย่างเฉียบคม

ในหนัง ไม่ได้มีอำนาจเพียงหนึ่ง แต่มีสอง หนึ่งคืออำนาจมายากลที่พระเอกใช้ ส่วนอีกหนึ่งคืออำนาจจากเกียรติยศและราชบัลลังก์ของมกุฏราชกุมารเลียวโปลด์

(ระวังสปอยล์เด้อ พี่น้องทั้งหลาย)

หนังแสดงถึงแนวทางและผลลัพธ์ของผู้มีอำนาจทั้งสองเอาไว้ให้คนดูคิดเล่นๆ

ไอเซนไฮม์ หลังจากประสบเรื่องโดนพรากจนคนรักไปในวัยเด็กจึงออกเดินทางทั่วสารทิศเพื่อฝึกวิชามายากลให้เหนือกว่าใคร สาเหตุไม่ใช่เพราะเขาอยากเก่ง แต่เขาต้องการใช้อำนาจมายากลเพื่อการหนึ่ง … เพื่อหาทางให้หญิงคนรักกลับคืนมา

ตลอดทั้งเรื่อง เขาได้ใช้ประโยชน์จากอำนาจแห่งมายากล จนไม่มีใครไม่รู้จักไอเซนไฮม์ แต่ทุกการกระทำไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง หรือแม้แต่เพื่อทำให้ผู้คนบูชาเขา หากแต่เจตนาเขายังคงมั่นเพียงหนึ่ง … เพื่อหาทางให้หญิงคนรักกลับคืนมา

หนังทำให้คนดูกระจ่างชัดตลอด ว่าไอเซนไฮม์ไม่สนใจว่าจะโดนสั่งให้เลิกแสดง (เพราะเขาไม่ได้ต้องการจะแสดงตลอดไป) ไม่สนว่าจะสูญเสียผลประโยชน์หากแสดงไม่ได้อีก (เพราะเขาไม่ได้ต้องการเงิน) และที่สำคัญที่สุด เมื่อเขาแสดงกล เรียกวิญญาณให้ผู้ชมได้เห็น จนผู้ชมพากันนับถือ ตั้งตนเป็นสาวกไอเซนไฮม์ ในความจริงเขาสามารถอ้างตนเป็นผู้วิเศษที่เรียกคนตายให้ฟื้นคืนได้ และใช้มันควบคุมทุกคนในเวียนนาให้มาภักดีก็ยังได้

แต่เขากลับเลือกประกาศกับทุกคนว่า “นั่นเป็นเพียง การแสดงกล”

… คนชนิดไหน ที่สามารถมีอำนาจระดับครองใจคนได้ แต่กลับสละอำนาจนั้นทิ้ง

… ก็คนชนิดที่ไม่หลงระเริงไปกับอำนาจนั่นยังไง

เพราะเขารู้ตัวตลอดว่าสิ่งที่เขาต้องการมีเพียงประการเดียว คือได้อยู่กับหญิงที่เขารักไปตลอดกาล

คนที่รู้ใจตน รู้เป้าหมายและรู้ว่าสิ่งใดสำคัญที่สุดในชีวิตมักได้ในสิ่งที่คาดหวัง เพราะเขาจะไม่หลงติดกับดักกิเลสใดๆ ไม่หลงไปกับประโยชน์แห่งอำนาจไหนๆ

ในขณะที่ไอเซนไฮม์ ทำตัวเป็นนายเหนืออำนาจทั้งหลายได้ แต่คนที่จมดิ่งเรื่องอำนาจ จนสุดท้ายเอาตัวเองไม่รอดก็คือ เลียวโปลด์

องค์มกุฏราชกุมารผู้นี้มีอำนาจระดับสูง มีอำนาจล้นเหลือ แต่แล้วก็ไม่คิดจะเพียงพอ ยังจะขอให้ตนได้อำนาจเพิ่มอีก ถึงขนาดวางแผนชิงบัลลังก์กับพ่อของตัวเอง

คนที่หวังอำนาจขนาดคิดการทำร้ายบุพการีผู้ให้กำเนิดได้ ไม่เรียกว่าหลงมัวเมาในอำนาจ ก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเรียก!

มิหนำซ้ำทุกการกระทำของเขา ก็เพื่อรักษาอำนาจที่ตนมีไว้เพียงอย่างเดียว ทำตนเป็นองครักษ์พิทักษ์อำนาจตัวเอง … มองๆ ไปก็เหมือนเป็นข้ารับใช้ของอำนาจ

แตกต่างกับไอเซนไฮม์ ที่ไม่ได้คิดจะรักษาอำนาจใดๆ ไว้เลย เขาเพียงเรียนรู้ถึงอำนาจ และใช้มันเพื่อเป้าหมายเท่านั้นเอง

บทสรุปของทั้งสองจึงไปคนละเรื่อง ในขณะที่ไอเซนไฮม์ได้ทุกสิ่ง โดยทิ้งอำนาจทั้งหลายไว้เบื้องหลัง แต่เลียวโปลด์ที่พยายามรักษาอำนาจ สุดท้ายก็ไม่เหลือแม้แต่อำนาจจะรักษาชีวิตตนเอง

เมื่อดูหนังจบ มันทำให้ผมฉุกคิดถามตนเองว่าตอนนี้ผมกำลังรับใช้อำนาจที่มี หรือผมเป็นนายของอำนาจกันแน่

เรื่องนี้เลยมองขยายไปถึงสิ่งต่างๆ ในชีวิตได้ ว่าเรายึดติดมากน้อยแค่ไหน เราอยู่เหนือสิ่งรอบตัวเช่นทรัพย์สิน เงินทอง และโทสะในจิตใจเรา เราเป็นนายมัน หรือมันเป็นนายเรา?

รู้แต่ว่า หากเป็นนายมันได้ ก็สุขใจเหลือหลาย หากมันเป็นนายขึ้นขี่หลังเราเมื่อไร … เป็นอันไมเกรนขึ้นทุกรอบ

ในแง่มุมหนังนั้น ผมว่าไม่เลวครับ ทำออกมาได้ดี สนุกน่าติดตาม อาจมีช่วงสโลว์ไปบ้าง อย่างกลางๆ เรื่อง แต่พอถึงจุดพลิกผัน (ท่านดูแล้วจะทราบเองครับ) ตาผมงี้สว่างมาทันที อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องจะไปทางไหน แม้บทสรุปจะไม่ได้อึ้งแบบไม่เคยดูที่ไหนมาก่อน แต่ก็จบในแบบที่ควรเป็น

ตัวหนังสร้างจากเรื่องสั้นที่ชื่อ Eisenheim the Illusionist ของ Steven Millhauser นักประพันธ์ชาวอเมริกัน ซึ่งตัวละครไอเซนไฮม์นั้นก็อิงมาจากบุคลิกลักษณะของนักสร้างภาพมายาชาวยิวนามว่า Erik Jan Hanussen ที่มีชื่อเสียงมากที่เวียนนาตอนต้นศตวรรษที่ 20 (แต่เขาถูกลอบสังหารโดยพวกนาซีในปี 1933) นอกจากนี้เนื้อเรื่องก็ยังได้เค้าโครงจากประวัติศาสตร์ออสเตรียช่วงปี 1889 ที่กล่าวถึงมกุฏราชกุมารรูดอล์ฟแห่งออสเตรียที่ถูกพบเป็นศพ (ซึ่งชะตากรรมคล้ายกับบทเลียวโปลด์ในเรื่อง) แต่คดีของมกุฏราชกุมารรูดอล์ฟยังคงเป็นปริศนาอยู่ Millhauser เลยจัดการเอาเรื่องมาต่อเติมเล็กน้อย จากนั้น Neil Burger ก็เอามาเขียนเป็นบทและกำกับอย่างที่ผมได้ดูไปนี่แหละ

เอาเป็นว่านี่คือหนังคุณภาพอีกเรื่องล่ะครับ ดูดาราเล่นกันก็คุ้มแล้ว ซ้ำการเดินเรื่องยังดูได้เรื่อยๆ สนุกดี มีอะไรให้เอาไปใคร่ครววญอีกด้วย แนะนำครับ คุ้มแน่นอน

สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ

Star22

(7.5/10)