ตอนก่อนๆ ถ้าท่านอ่านกันน่ะนะครับ จะเห็นว่าผมชมในเรื่องการเขียนบทของพี่ Sylvester Stallone ในภาคแรกนั้น บทหนังมันสมบูรณ์ครับ เรียบง่ายแต่สมบูรณ์ ส่วนภาคสองก็ป็นส่วนเสริมจากภาคแรก พอมาภาคสามพี่แกก็ฉลาดพอที่จะเปลี่ยนแนวให้กับหนังโดยเพิ่มความมันส์ลงไป
พอมาภาคสี่แกก็ผูกเรื่องจากภาคสามมาสร้างเงื่อนไขทางอารมณ์ให้กับคนดู ซึ่งถ้าดูจากสี่ภาคแรกนี่ ยอมรับว่าแกก็มีฝีมือนะครับ… แต่พอมาภาคห้าเท่านั้นแหละ ผมถึงแก่ความงงว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่สไลเนี่ย
เนื้อเรื่องภาคนี้จับเอาเรื่องราวของร็อคกี้ (พี่สไล) ที่กำลังตกอับครับ เพราะโดนภาษีเล่นงานจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว บ้านโดนยึด ทรัพย์สินเกลี้ยงหมด เขาเลยต้องย้ายกลับมาอยู่บ้านเดิมที่ฟิลาเดลเฟีย (ก็ย่านเดียวกับภาคแรกนั่นแหละครับ) ซึ่งชีวิตเขาก็กลับคืนสู่สามัญอีกครั้ง แต่ไฟในตัวของเขายังไม่มอดนะครับ เขายังพร้อมจะสร้างโอกาสใหม่ให้ตนเอง และประจวบเหมาะกับการที่เขาได้พบกับ ทอมมี่ กันน์ (Tommy Morrison) หนุ่มน้อยที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเป็นนักชกชื่อดังและขอร็อคกี้เป็นเทรนเนอร์ให้ ร็อคกี้ก็เอาซะหน่อยล่ะครับ
แต่ทว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะจอร์จ วอชิงตัน ดุ๊ก (Richard Gant) โปรโมเตอร์มวยจอมโกงก็ต้องการทอมมี่ไปเข้าสังกัดตนเหมือนกัน เขาเลยทำการหลอกล่อทอมมี่ให้ทรยศต่อร็อคกี้ โดยจุดประสงค์ที่แท้จริงของดุ๊กก็คือ การบีบให้ร็อคกี้ขึ้นสังเวียนชกอีกครั้ง (เพื่อหาเงินเข้ากระเป๋าตนเองนั่นแหละครับ) แล้วเรื่องราวจะเป็นไงต่อ ก็ลองติดตามดูนะครับ
ในภาคนี้ เรื่องราวกลับมาเป็นแนวชีวิตแบบเต็มตัวอีกครั้ง พวกความมันส์และกลิ่นอายของแอ๊คชั่นไม่มีแล้วครับ มาเน้นชีวิตที่ตกต่ำของร็อคกี้เพียวๆ เลย ซึ่งผมก็พอจะเดาออกครับว่าพี่สไลแกต้องการจะกลับมาสู่ความเยี่ยมแบบภาคแรก จับเรื่องของร็อคกี้ในแง่มุมอื่นบ้าง ก็เหมือนกับที่พี่แกเปลี่ยนแนวจากชีวิตในสองภาคแรก มาเป็นแอ๊คชั่นในสองภาคหลังนั่นแหละ และนี่ก็คงเป็นแนวทางใหม่ที่พี่เขาอยากจะใส่ให้กับหนังร็อคกี้ แล้วพี่เขายังไปตาม John G. Avildsen ผู้กำกับจากภาคแรกให้มาทำภาคนี้ด้วย ก็เรียกว่ากะทำหนังหวังรางวัลกันล่ะครับ
แต่ผลที่ได้ดันไปคนละเรื่อง
ตัวหนังแม้จะพยายามกลับมาติดดิน และดึงเอาผู้กำกับภาคแรกมา เขียนเนื้อเรื่องในแบบสู้ชีวิตมาอีกครั้ง แต่ความขลังหายไปหมดครับ แม้จะได้บรรยากาศแถวบ้านเก่าของร็อคกี้ ซึ่งโคตรจะแสนอบอุ่นแบบภาคแรกมาก็ตาม แต่หนังกลับไม่สนุกอีกแล้ว ไม่เข้มข้นและธรรมดาจนเกินไป เรื่องราวดูเรียบเรื่อยครับ เรื่อยจนเกินไป แม้ภาคนี้พี่สไลแกจะแสดงได้ไม่เลวก็ตาม เพราะแกกลับมาสู้ชีวิตแบบน่าสงสารอีกแล้ว ดาราคนอื่นก็อยู่ตัวแล้ว ดนตรีก็ได้พี่ Bill Conti กลับมาทำให้ แต่ทำไมมันถึงได้ธรรมดาแบบนี้
ส่วนหนึ่ง ในความคิดผมนะครับ คิดว่ามันน่าจะมาจากการที่ชะตาของร็อคกี้นั้นมันบัดซบจนเกินไปในภาคนี้น่ะครับ เริ่มจากเห็นแกตกอับยังไม่พอ ยังโดนโกงและโดนแกล้งสารพัด คือผมว่าถ้าเป็นหนังชีวิตเรื่องอื่นๆ ทำแบบนี้ก็ยังโอเคครับ แต่เผอิญนี่เป็นร็อคกี้อ้ะ คนที่เป็นขวัญใจใครหลายคน คนที่คนดูอุตส่าห์เอาใจช่วยมาตั้ง 4 ภาคดันมาเจอเคราะห์กรรมแบบนี้มันร้ายกว่าตายเยอะเลยนะครับ ตายก็แค่ตาย แต่การต้องมาเห็นร็อคกี้โดนแบบนี้มันเลยรู้สึกแย่ๆ ขึ้นมา คนดูหลายรายเลยพาลจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้ไปเลย
คงไม่ต่างจาก Babe ภาค 2 น่ะครับ ที่ดันให้เบ๊บต้องเจอความซวยสารพัดจนคนดูก็เลยพาลไม่ชอบหนังไปเลย และคิดดูขนาดใน Babe นั้นตอนจบยังหันมาจบแบบให้ความหวัง คนดูยังไม่ชอบเลยอ้ะ แล้วใน Rocky ภาคนี้ยังอุตส่าห์จบแบบไม่ได้มีความหวังอะไรขึ้นมาเลย ก็คงไม่แปลกหรอกครับที่แฟนๆ ที่ดูซีรี่ส์นี้มานานจะรับไม่ค่อยได้เท่าไหร่น่ะ
เรียกว่าพี่เขาพยายามจะหาความใหม่ แต่ดันไม่ดูกาลเทศะไปหน่อย หนังเลยกร่อยไปเลยครับ
อันนั้นว่าตามความรู้สึกผมนะครับ เพราะนอกจากเนื้อหามันจะไม่ค่อยถูกปากคนแล้ว การเดินเรื่องและสิ่งต่างๆ ก็ธรรมดาครับ ไม่ค่อยน่าติดตามหรือสนุกอะไร เหมือนดูหนังชีวิตทั่วๆ ไปมากกว่าครับ อีกอย่างภาคนี้ก็ยังไม่มีฉากร็อคกี้ขึ้นชกด้วย (มีแต่ต่อยกันข้างถนน) มันเลยเหมือนขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง
นี่ถ้าตัวเอกเป็นคนอื่น คือไม่ใช่ร็อคกี้มันอาจจะดูโอเคกว่านี้ครับ แต่เพราะมันเป็นร็อคกี้เลยออกจะหงุดหงิดไม่ไ่ด้ เพราะมันสนุกสู้สี่ตอนก่อนไม่ไ่ด้เลย บางท่านอาจจะบอกว่า การที่หนังทำออกมาแบบนี้แล้วทำให้เรารู้สึกแย่กับชีวิตบัดซบของร็อคกี้ แปลว่าหนังทำสำเร็จหรือเปล่า อันนี้ผมคิดว่าคงไม่ใช่หรอกครับ เพราะถ้าหนังทำได้อารมณ์จริงมันต้องแบบ Babe โน่น คือดูแล้วแทบอยากจะวิ่งเข้าไปในจอแล้วช่วยเบ๊บออกมาซะเลย มันต้องอย่างนั้นครับถึงจะเรียกว่าอิน แต่กับ Rocky 5 นี่มันอารมณ์ประมาณว่า “ทำไมพี่ร็อคกี้ตูต้องมาอยู่ในบทหนังแบบนี้ด้วยฟะ” มันไม่อินน่ะครับ ซึ่งพูดอีกอย่างก็คือทำได้ไม่ถึงนั่นแหละ
ครบเลยครับ แนวไม่ถูกปากคนดู บทยังไม่เลงตัวเท่าไหร่ แล้วบทที่เป็นอยู่หนังก็ทำได้ไม่ถึงอีก มันเลยออกมาน่าผิดหวังครับ ผมว่าถ้าจะให้เข้าท่ามันน่าจะจับประเด็นเรื่องลูกชายของร็อคกี้มาเล่นให้มากกว่านี้ เพราะในหนังมันมีบทร็อคกี้ จูเนียร์ ลูกชายของร็อคกี้ด้วยน่ะครับ (แสดงโดย Sage Stallone ลูกของพี่สไลนั่นเอง) มันมีปมประมาณว่า ร็อคกี้ไม่ค่อยเอาใจใส่ลูกเท่าไหร่ มัวแต่ไปทุ่มเวลาให้กับคนนอกอย่างกันน์ ทั้งๆ ที่ร็อคกี้ จูเนียร์ก็พยายามจะเข้าหาพ่อแล้วแท้ๆ (ซึ่งปมนี้หนังก็ทำได้ไม่ถึงอีกเช่นกันครับ เหมือนกับแค่พูดถึงแบบผิวๆ เท่านั้นเอง)
เนี่ยครับ ถ้าหนังเล่นกับปมพ่อลูกตรงนี้ มันอาจจะเข้าท่ากว่าที่เป็นก็ได้
แต่ก็เป็นไปแล้วน่ะครับ ไม่น่าแปลกใจที่หนังจะล่ม (ทำเงินไปแค่ 40 ล้านน่ะครับ น้อยที่สุด เพราะภาคก่อนๆ เขาร้อยล้านกันทั้งนั้น)
แต่ถ้าคิดในอีกมุมหนึ่งนะครับ ก็คิดซะว่าเรานั่งดูชีวิตของร็อคกี้น่ะครับ ได้รู้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป คิดแบบนี้ก็พอโอเคขึ้น เพราะเหตุการณ์ในหนังนั้นมันก็เกิดขึ้นจริงได้ครับ … เพียงแต่ว่านี่มันหนังน่ะ ดังนั้นบทมันต้องเป็นอะไรที่มากกว่าชีวิตทั่วๆ ไปสักหน่อย คือน่าสนใจสักนิดนึงมันถึงจะโอเค แต่นี่ บทยังไม่ดีขนาดนั้นครับ การกำกับและอะไรก็ดูจะธรรมดาลงมาก หนังเลยออกมาแบบนี้
ดูได้ แต่อย่าคาดหวังมากแล้วกันนะครับผม
สองดาวเชิงลบครับ
(6/10)
หมวดหมู่:Action, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Drama, Sport