
สารภาพว่ารอเวลาแบบนี้มานานมากๆ ครับ เวลาที่จะได้ถวายสามดาวให้กับหนังฮีโร่จากฟาก DC และพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าหนังฮีโร่่ DC มีดีควรค่าแก่การรับชม
ทั้งนี้และทั้งนั้นผมยกความดีความชอบให้ผู้หญิงเก่งทุกคนที่เป็นพลังสำคัญของหนัง เริ่มจาก Gal Gadot ที่สวมบท ไดอาน่า หรือ วันเดอร์ วูแมนได้อย่างน่าชื่นชม เธอดูมีเสน่ห์ดึงดูด และมีมิติความลึกจนทำให้เราเชื่อว่าเธอคือคนๆ หนึ่งที่มีชีวิตและจิตใจ
ผมชอบที่ได้เห็นพัฒนาการของตัวละครนี้ครับ ในช่วงต้นเธออาจจะออกแนวบ้านนอกเข้ากรุงนิดๆ เพราะตัวละครไดอาน่าอยู่แต่บนเกาะเทพ ไม่เคยใช้ชีวิตในสังคมโลกมาก่อน เลยมีอะไรเปิ้บๆ ป้าบๆ บ้างพอให้อมยิ้ม
แล้วเธอก็ได้เรียนรู้ความจริงของโลก ความจริงของสงคราม ความจริงของมนุษย์ อีกทั้งเธอยังได้เรียนรู้มิตรภาพ ความรัก และความสูญเสีย จนทั้งหมดได้หล่อหลอมเธอให้กลายเป็นวันเดอร์ วูแมนแบบที่เราพบเจอใน Batman V Superman
ถ้าให้ว่ากันตรงๆ แล้ว หนังไม่ได้มีอะไรสดใหม่หรอกครับ มันคือเรื่องของฮีโร่คนหนึ่งที่เริ่มจากการไม่รู้ แล้วก็ค่อยๆ รู้สิ่งต่างๆ รู้ถึงพลังอำนาจของตน ฯลฯ มีมุกตลกระหว่างทาง มีแอ็กชันประปราย มันคือสูตรสำเร็จของหนังฮีโร่แบบที่เราคุ้นเคย
แต่ก็อย่างที่ผมบอกเสมอว่า สูตรเก่าหรือใหม่มันไม่สำคัญเท่ากับว่าคนเล่าสามารถเล่าออกมาได้อร่อยหรือไม่ สามารถเอาวัตถุดิบมาปรุงจนเกิดความเด็ดได้หรือไม่ และสำหรับเรื่องนี้ก็บอกได้เลยครับว่าผู้กำกับ Patty Jenkins ปรุงได้อย่างดี
ผมยังจำตอนที่เธอออกมาประกาศว่า “หนังเรื่องนี้จะไม่มีฉบับ Extended ตามออกมา” กล่าวคือหนังที่เราเห็นนี่คือฉบับสมบูรณ์ไม่ต้องเติมเครื่องปรุงหรือเครื่องเคียงอะไรอีกต่อไป และสิ่งที่เราได้ดูนั้นก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ครับ มันพอดีพอเหมาะแล้ว ไม่ต้องเติมอะไรมากไปกว่านี้แล้ว
ผมมีคำถามระหว่างดูนะ ว่าถ้าผู้กำกับเรื่องนี้ไม่ใช่เธอแล้ว หนังมันจะออกมาแบบนี้ได้ไหม ที่ผมใช้คำว่า “แบบนี้” นั้นก็หมายถึง รสชาติของหนังที่กลมกล่อมพอดี เป็นการผสานกันระหว่างแอ็กชันยิ่งใหญ่+อารมณ์ขันคุ้นเคยแต่ไม่เชย+การวิพากษ์โลกกับสงคราม+มิติของตัวละครที่มีทั้งมุมจริงจังและมุมน่ารัก
ตัวหนังมันมีความแข็งแกร่ง แต่ไม่แข็งกร้าว ไม่แข็งกระโดกกระเดก มันยังมีซีนอารมณ์ดีๆ และมีความอ่อนละมุนในเรื่องราว เรียกว่าจะดูเอามันส์ ดูเอาเรื่อง หรือดูเอาอารมณ์ก็ได้หมดครับ เพียงแต่หากจะดูเอาความแปลกใหม่ก็คงต้องบอกว่า หนังไม่ได้แปลกใหม่อะไรแบบนั้นหรอกครับ
สำหรับผมแล้ว ผมชอบเลยครับ ถ้าว่ากันจริงๆ แล้วโทนของหนังมันก็อารมณ์เดียวกับ Man of Steel และ Bat V Sup น่ะครับ ทั้งโทนภาพและอารมณ์ของฉากแอ็กชัน จนสามารถเอาไปเข้าชุดเข้าจักรวาลกันได้แบบเป็นเนื้อเดียวเลย
แต่จุดที่เด่นกว่าหนังเหล่านั้นคือตัวเอกที่ดูเด่น มีเลือดมีเนื้อจริงๆ และบางครั้งก็ทำผิดคิดพลาดได้เหมือนกัน ไม่ได้เป็นคนที่สมบูรณ์แบบแต่อย่างใด ซึ่งนั่นก็ถือเป็นเสน่ห์อีกอย่างของเธอครับ เพราะมักเธอเรียนรู้จากความผิดพลาด (ในขณะที่ฮีโร่หลายๆ คน ผิดแล้วผิดอีก ผิดซ้ำพลาดซ้อน)
Gadot เด่นมากมายครับ ในขณะที่ Chris Pine กับบท สตีฟ เทรเวอร์ แม้จะเป็นพระเอก แต่ก็ออกแนวบทสมทบนะ ว่าตามจริงความเด่นพี่แกอาจไม่เยอะมากนัก แต่ก็ถือเป็นส่วนเสริมที่ดีครับ และจะว่าไปพี่แกก็เสริมความฮาให้หนังได้หลายหนอยู่
ผมชอบฉากที่สตีฟแสดงความจริงใจ ตอนไดอาน่าถามว่า “นี่คุณโกหกฉันอยู่อีกไหม” แล้วสิ่งที่เขาทำนั่นมันน่ารักมากๆ ครับ มันเป็นอะไรที่พอเหมาะพอดี เป็นมุกทีเยี่ยมมมากๆ มุกหนึ่งก็ว่าได้ (โดยส่วนตัวผมมองว่า ถ้าคนทำไม่ใส่ใจจริงๆ แล้ว จะนึกถึงมุกนี้ไม่ออกครับ)
ดาราสมทบรายอื่นอย่าง Connie Nielsen, Robin Wright, David Thewlis และ Danny Huston ว่ากันจริงๆ แล้วพวกเขาก็ไม่ได้เด่นอีกเช่นกันครับ เหมือนหนังทั้งเรื่องได้ Gadot ครองน่ะ แต่ไม่ได้แปลว่าพวกเขาเล่นไม่ดีนะครับ ด้านการแสดงน่ะยังดีเหมือนเดิม เพียงแต่พื้นที่บนจออาจไม่เปิดโอกาสให้เด่นเท่าไร เท่านั้นแหละ
แต่ลึกๆ ผมเชื่อว่าเป็นความตั้งใจของ Jenkins ที่จะดันตัวละครวันเดอร์ วูแมนให้ออกมาเด่นและเกิดแบบเต็มตัว เลยอุทิศเวลาสองชั่วโมงในหนังปั้นจนตัวละครนี้ดูเด่น และเป็นที่จดจำในใจของผู้ชมได้แบบไม่มีวันลืมไปง่ายๆ
ผมเชื่อว่าหากใครดูเรื่องนี้แล้ว กลับบ้านไปเปิดดู Bat V Sup ต่อ คุณจะมองฉากที่วันเดอร์ วูแมนที่โผล่มาช่วยพี่แบทกับพี่ซุปด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป (จุดนี้ถือเป็นความฉลาดของคนทำนะครับ เพราะแม้หนังจะฉายหลัง Bat V Sup แต่มันทำหน้าที่เป็นเหมือนภาคก่อนหน้าแบบกลายๆ และกลายเป็นส่วนเติมเต็มให้กับหนังเรื่องนั้นด้วย)
รู้ไหมครับว่าอะไรที่ผมรู้สึกชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้? ผมชอบที่ทุกสิ่งทุกอย่างในหนังมันทำให้ วันเดอร์ วูแมน เป็นมากกว่า “ผู้หญิงสวยที่ใส่ชุดเกาะอก” อันนี้มาว่ากันตรงๆ เลยครับ ชุดของเธอนั้นดูเซ็กซี่และเปิดเผยมากกว่าฮีโร่ผู้หญิงคนอื่นอย่าง แบล็ควิโดว์ หรือสกาเล็ตวิทช์ ดังนั้นมันไม่ใช่เรื่องแปลกหากผู้ชม (โดยเฉพาะบุรุษเพศ) จะมองเธอแล้วคิดไปในทางนั้น
แต่หนังเรื่องนี้ทำให้เรามองวันเดอร์ วูแมนเป็นฮีโร่ที่น่ายกย่อง โดยเนื้อแท้แล้วเธอคือคนตรงๆ ซื่อๆ ที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและยืดหยัดในสิ่งที่เธอเชื่อ ซึ่งคนประเภทนี้หาได้ยากในโลกยุคนั้น (ยิ่งยุคนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง) และภาพลักษณ์ที่หนังถ่ายทอดออกมา ไม่ได้ทำให้เรามองเธอว่าเป็นฮีโร่โลกสวยแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่เธอยังเรียนรู้ที่จะมองโลกตามที่มันเป็น
เธอเคยคิดว่าแท้จริงแล้วโลกนี้เกิดสงครามเพราะเทพสงครามแอเรส แต่พอมาสัมผัสโลกจริงๆ ก็พบว่ามนุษย์โลกไม่ได้มีแต่ด้านงดงามเพียงอย่างเดียว แต่มนุษย์ล้วนมีรัก โลภ โกรธ หลง บางครั้งมนุษย์ก็ทำสิ่งเลวร้ายด้วยตนเอง โดยไม่ได้มีผีสางเทวดาที่ไหนมาดลใจให้ทำ
ผมชอบตอนที่เธอพูดใจความประมาณว่า มนุษย์อาจมีความเห็นแก่ตัว โลภ คิดเพียงเอาตัวรอด ขลาดเขลา ตื่นกลัว ขาดความรับผิดชอบ ฯลฯ แต่นั่นไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์เป็นได้ “เพราะในตัวมนุษย์ยังเป็นได้มากกว่านั้น” และนั่นทำให้เธอยังเดินหน้าปกป้องมนุษย์ต่อไป มิใช่เพียงเพื่อปกป้อง แต่ยังถือเป็นการ “ทำให้มนุษย์ได้เห็น” เป็นเหมือน Idol ให้มนุษย์ในทางหนึ่ง
เพราะบางครั้งมนุษย์ก็ไม่รู้หรอกว่าเราเป็นได้มากกว่านั้นไหม… จนกระทั่งมีใครมาทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง (แต่ก็มีทั้งแบบ “เราดีกว่าที่เป็นได้” และ “เราร้ายกว่าที่เป็นได้” สุดแท้แต่คนเราจะเลือกทางไหน)
“ทางเลือกที่แต่ละคนเลือกให้ตนเอง ไม่มีฮีโร่คนใดจะเอาชนะมันได้” ประโยคน่าจะประมาณนี้ครับ เป็นอีกประโยคที่ผมชอบนะ มันชวนให้คิดดี
และในแง่หนึ่งหนังตอบคำถามที่ว่า “เราจะพยายามทำดี เป็นคนดี หรือปกป้องโลกไปทำไม?” คำตอบก็คือ มันคือสมดุลย์ที่มีไว้ต้านความเสื่อมของโลกครับ เพราะยังไงโลกก็มีคนที่พร้อมจะสร้างหายนะ พร้อมจะทำให้สกปรก และพร้อมจะทำให้เสื่อมโทรมลงเสมอ… แล้วมันจะเป็นอย่างไรหากเราปล่อยให้มีแต่คนทำแบบนั้น
เหมือนเราอยู่ในบ้านกับเพื่อนๆ หากทุกคนเอาแต่ทำให้มันเสื่อมโทรม สุดท้ายมันก็จะเสื่อมอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายเราก็ต้องรับผล (บ้านอยู่ไม่ได้, สกปรกเกิน, หนู+จิ้งจก+แมลงสาบมาทำรัง, ขื่อคานพานจะถล่อมลงมา) แต่หากมีใครสักคนพยายามทำสิ่งที่ดี ความเสื่อมมันก็จะชะลอลงได้… แต่ผมไม่เถียงหรอกว่าคนที่พยายามทำสิ่งดีอาจต้องเหนื่อย และต้องท้อจนไม่รู้จะท้อยังไง
แต่ถ้าใครไม่ทำอะไรสักอย่าง สักวันมันก็ต้องเสื่อมจนถล่มและอยู่ไม่ได้ (แน่นอนว่าผมไม่ได้หมายถึงแค่บ้านในตัวอย่างที่ยกมา แต่ผมหมายถึงโลกใบนี้ครับ)
ทั้งหมดทั้งปวงที่วันเดอร์ วูแมนทำในหนัง มันทำให้ผมคิดครับ ทำให้ผมรู้สกขอบคุณที่เธอเป็นอีกหนึ่งตัวละครในโลกภาพยนตร์ ที่พยายามกระตุ้นเตือนให้เราคิดถึงคุณงามความดี… ไม่ใช่คิดแบบโลกสวยนะ แต่คิดแบบจริงๆ จังๆ เลยว่าถ้าเรามัวแต่ขยันเห็นแก่ตัว ขยันเอาแต่ได้ ขยันประมาทในชีวิต โลกในภายหน้ามันต้องลำบากมหาศาลกว่านี้อย่างแน่นอน
นั่นคือสิ่งที่หนังทำได้สำเร็จครับ ทำให้ผู้หญิงคนนี้เป็นสิ่งบันดาลใจให้ใครหลายคนได้ แม้จะแต่งกายแบบที่ผู้หลักผู้ใหญ่คงเรียกว่า “นุ่งน้อยห่มน้อย” แต่สิ่งที่เธอทำ สิ่งที่เธอคิด และสิ่งที่เธอชวนให้เราคิด มันทำให้เธอเป็นอะไรที่มากกว่าผู้หญิงที่ดูมีเสน่ห์ดึงดูดทางเพศ
มองในแง่หนึ่ง เธอก้าวออกจากโลกแห่งเทพ (นิยาย) มาประกาศก้องวิถีแห่งความกล้าในโลก (แห่งความจริง) โดยส่วนตัวผมมองว่ามันเป็นสัญญะที่น่าสนใจมากๆ
… ผมเชื่อว่า William Moulton Marston จิตแพทย์ผู้สร้างสรรค์ตัวละครนี้จะต้องชอบหนังเรื่องนี้ครับ …ท่านเสียไป 70 ปีแล้วครับ และยุคหนึ่งท่านยังโดนครหาด้วยว่าสร้างตัวละครนี้ขึ้นมาให้มีนัยทางเพศ บางคนมองไปถึงว่ามันสร้างขึ้นเพื่อกระตุ้นอารมณ์เพศเด็กหนุ่มที่อ่านเลยก็มี แต่ Marston พยายามอธิบายว่า ท่านพยายามสร้างตัวละครผู้หญิงเก่ง มีจิตใจดี และมีคุณธรรมเพื่อเป็นไอดอลให้กับเด็กๆ เท่านั้น
และหนังเรื่องนี้สามารถถ่ายทอดสิ่งที่ Marston อธิบายไว้ได้อย่างน่าปรบมือ
สำหรับผม หนังเรื่องนี้ “สมกับการรอคอยครับ”
สามดาวครับ

(8/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, Movie Reviews, Recommended Movies, Superhero










