
The Pledge ถือเป็นหนึ่งในหนังที่จบได้ขัดใจครับ นี่ขนาดดูมาแล้วหลายวันบทสรุปของหนังยังอยู่ในหัวผมอยู่เลย ซึ่งเดี๋ยวก็ต้องมีการสปอยล์แน่นอน แต่ก่อนจะถึงจุดนั้นก็ขอเล่าแบบไม่สปอยล์ก่อนนะครับ เดี๋ยวถ้าจะสปอยล์เมื่อไรแล้วจะบอกอีกทีครับ
The Pledge ถือเป็นหนึ่งในหนังที่จบได้ขัดใจครับ นี่ขนาดดูมาแล้วหลายวันบทสรุปของหนังยังอยู่ในหัวผมอยู่เลย ซึ่งเดี๋ยวก็ต้องมีการสปอยล์แน่นอน แต่ก่อนจะถึงจุดนั้นก็ขอเล่าแบบไม่สปอยล์ก่อนนะครับ เดี๋ยวถ้าจะสปอยล์เมื่อไรแล้วจะบอกอีกทีครับ
ยามที่คนเราเดินทางไกลไปไหนสักแห่ง หากไม่ใช่ไปเพื่อหาบางสิ่ง ก็อาจไปเพื่อหนีจากบางอย่าง…
ไม่รู้ว่าจะได้ดูภาคต่อของฉบับนี้เมื่อไรน่ะนะครับ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างน้อยภาคแรกนี่ก็ถือว่าทำออกมาได้เข้มข้น นำเสนอเรื่องราวได้ดี และคู่ควรแก่การดูซ้ำอยู่เหมือนกัน
ดูจบไปแล้วหนึ่งรอบครับ และคงต้องซ้ำอีกรอบในเวลาไม่นาน ถ้าถามว่าชอบไหม ก็ตอบได้ว่า “ผมชอบนะ” หนังจัดว่าสนุกดีแม้จะกินเวลา 4 ชั่วโมงก็เถอะ แต่หากใครที่ชื่นชอบเรื่องราวของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ของ DC ผมว่าหนังน่าจะคุ้มเวลาในการดูสำหรับท่านครับ
ตลอดการดูหนังเรื่องนี้ ในหัวผมจะมีคำๆ หนึ่งผุดขึ้นมาอยู่เป็นระยะๆ นั่นคือคำว่า “ผมเข้าใจนะ ผมเข้าใจ”
นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งรีวิวที่ผมจะไม่ร่ายยาวนะครับ เพราะชีวิตนี้ดูหนังที่ดัดแปลงจากวรรณกรรม A Christmas Carol ของ Charles Dickens ไปถึง 4 เวอร์ชั่นแล้ว (คือของปี 1984, 1999 แล้วก็ Scrooged ที่เปลี่ยนเหตุการณ์มาเกิดในยุคปัจจุบันนำแสดงโดย Bill Murray แล้วก็ Ms. Scrooge หนังปี 1997 ที่เปลี่ยนเพศคุณสครูจจอมตืดให้กลายเป็นผู้หญิงแทน อันนี้แสดงโดย Cicely Tyson) และ A Christmas Carol ฉบับแอนิเมชั่นของ Robert Zemeckis นี่ก็จะเป็นเวอร์ชั่นที่ 5 พอดีครับ
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา Russell Crowe แกเล่นหนังดีๆ เอาไว้เยอะครับ เสียดายแต่ว่าหนังเหล่านั้นไม่ค่อยดังและไม่ทำเงินสักเท่าไร อย่างเรื่องนี้ก็เข้าอีหรอบนั้นเหมือนกัน
ผมเคยมองว่า Blade Runner เป็นหนังที่มาก่อนกาลเวลา เลยทำให้หนังไม่ทำเงินมากมายเท่าที่ควร แต่มาระยะหลังผมเริ่มมองว่ามันเป็นหนังเฉพาะกลุ่ม กล่าวคือมีคนดูหนังแบบนี้อยู่ทุกยุคทุก Generation นั่นแหละครับ เพียงแต่ปริมาณคนชอบอาจไม่ได้มากมายเท่าหนังตลาดเท่านั้นเอง
สารภาพว่ารอเวลาแบบนี้มานานมากๆ ครับ เวลาที่จะได้ถวายสามดาวให้กับหนังฮีโร่จากฟาก DC และพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าหนังฮีโร่่ DC มีดีควรค่าแก่การรับชม
ดีกรีรางวัลก็แทบไม่ต้องพูดถึงล่ะครับ คว้าไป 6 ตัวรวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปีด้วย กับเรื่องราวของนายฟอร์เรสต์ กัมพ์ (Tom Hanks) ชายหนุ่มผู้ใสซื่อ มีชีวิตดั่งขนนกที่ลอยตามลมครับ ลมพัดไปทางไหน เขาก็ไปทางนั้น นั่นทำให้ชีวิตของเขาได้เจอกับอะไรที่หลากหลายเอามากๆ ได้เจอกับบุคคลสำคัญหลายราย ได้พบกับเหตุการณ์มากมาย และนั่นก็ทำให้หนังเรื่องนี้ น่าติดตามไปตลอด 140 นาทีเลยทีเดียว