เมื่อตอนที่ Van Helsing ฉบับปี 2004 ออกฉาย ทาง Pacific เจ้าของลิขสิทธิ์หนังค่าย Universal ในไทย (ณ ตอนนั้น) ได้นำเอาหนังสยองเก่าๆ ออกมาทำใหม่ ซึ่งบอกตรงๆ ว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงช็อคตายน่ะครับ – จริงๆ คือเคยคิดด้วยซ้ำว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้ดูแล้วล่ะมั้งแดร็กคูล่า ผมว่าทุกคนน่าจะรู้จักนะ นี่เป็นฉบับเก่าแก่แรกเริ่มครับ เนื้อหาก็คือเคานท์ แดร็กคูล่า (Bela Lugosi) ได้เดินทางมายังลอนดอนครับ แล้วที่นั่นเขาก็ได้ก่อคดีสยองไล่ดูดเลือดสาวๆ ทำให้ ศจ. อับราฮัม แวน เฮลซิ่ง (Edward Van Sloan) ต้องเดินทางมาเพื่อต่อกรกับมัน
เป็นหนังขาวดำนะครับ และถือเป็นหนังระดับ Classic เพราะมันสยองแบบเก่าแก่ครับ ไม่มีการฉีกแขนฉีกขา ไม่มีเลือดด้วยซ้ำ และแดร็กคูล่าก็ไม่ได้คลานไปฆ่าใครด้วย (5555) ผมรู้ว่าสำหรับหลายๆ ท่านการดูหนังเรื่องนี้อาจเป็นอะไรที่น่าเบื่อครับ แต่สำหรับผมมันคืองานระดับตำนานแห่งโลกภาพยนตร์ โอเคครับถ้าว่ากันในแง่ของความน่ากลัวแล้ว ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด ทว่าสมัยโน้นคนเขากลัวกันมากเลยนะครับ ซึ่งก็ยอมรับว่าหนังทำได้ทึม โกธิค บรรยากาศชวนวังเวงดีไม่น้อย และงานฉากค่อนข้างสวยงาม มาตรฐานงานส่วนต่างๆ เข้าท่ามากครับ
นักแสดงก็ทำได้ดีเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะ Bela Lugosi เจ้าตำนานผู้รับบทนี้จนโด่งดัง เขาดูน่ากลัวและมีอำนาจดีครับ และสำเนียงก็เป็นเอกลักษณ์จนผู้มารับบทแดร็กคูล่าในยุคต่อๆ มาต้องเอาอย่าง (จริงๆ Lugosi เคยบอกไว้ว่า ที่แกพูดช้าๆ ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกครับ แต่มันเพราะเขาเป็นคนฮังกาเรียนและในตอนนั้นเขาพูดอังกฤษยังไม่คล่องเท่าไหร่ เลยต้องพูดช้าๆ น่ะครับ แต่ไปๆ มาๆ มันก็กลายเป็นอีกบุคลิกที่ติดตัวท่านแดร็กไปเลย)
ในตอนแรกนะครับ บทแดร็กคูล่านี้ก็เตรียมไว้เพื่อ Lon Chaney เจ้าของฉายา มนุษย์พันหน้า-ราชาหนังสยองขวัญ เพราะพี่ท่านเล่นหนังกี่เรื่องก็ต้องมีการเมคอัพหน้าใหม่หมด จนแทบไม่มีใครได้เห็นหน้าค่าตาที่แท้จริงของเขาเลย และผลงานของเขาส่วนมากก็จะเป็นหนังสยองนะครับ รวมไปถึงบทนำใน Phantom of The Opera ด้วย แต่แล้วเขาก็มาเสียชีวิตในปีเดียวกับที่จะเริ่มถ่ายทำหนัง Dracula พอดี และผู้ที่รับงานกำกับหนังเรื่องนี้ก็คือ Todd Browning ผู้กำกับคู่บุญของ Chaney นั่นเอง ในที่สุดบทก็ตกมาเป็นของ Lugosi ซึ่งเคยแสดงบทนี้มาแล้วตอนที่มันเป็นละครเวที
โดยส่วนตัวแล้วผมชอบนะ ในความ Classic ของมัน ฉากดี การจัดแสงสวยๆ และการแสดงของ Lugosi ยอดเยี่ยมมาก จริงๆ หนังไม่ได้มีฉากอลังการอะไรมาก ไม่ได้เล่น Effect อะไรนัก ไม่ได้ทุนสูง เนื้อเรื่องก็เดาๆ ได้ แต่ด้วยความขลังของทุกๆ องค์ประกอบ มันเลยจับใจผมได้สำเร็จ
อันนี้ผมอยากให้คอหนังลองพิสูจน์กันครับ เพราะมันเป็นหนัง Classic น่ะ คนรักหนังยังไงๆ ก็น่าจะหาโอกาสลองอยู่แล้ว ส่วนขาจรก็แล้วแต่ล่ะครับ จะดูไม่ดูก็อยู่ที่คุณจะตัดสินใจ ผมบอกได้แค่ว่า มัน Classic อย่างที่เขาว่ากันจริงๆ (นั่นคือ “ง่าย แต่มีพลัง” ในแง่ความสนุกอาจไม่มากมาย แต่ในแง่ภาษาหนัง คงต้องให้คะแนนเกือบเต็มเลยล่ะ)
สามดาวครับ
(8/10)













