ภาคนี้จับเอาปมในอดีตของโธมัส เบ็คเกตต์ (Tom Berenger) มาเล่นครับ ประมาณว่าเมื่อก่อนเขาเคยเสียเพื่อนไประหว่างปฏิบัติการ
ภาคนี้จับเอาปมในอดีตของโธมัส เบ็คเกตต์ (Tom Berenger) มาเล่นครับ ประมาณว่าเมื่อก่อนเขาเคยเสียเพื่อนไประหว่างปฏิบัติการ
หนังเรื่องนี้จัดไปร่วมขบวนกับ Taken ได้เลยครับ ตัวเอกคือ คาร์ล่า (Halle Berry) คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่จู่ๆ ลูกชายก็โดนลักพาตัวไป เธอเลยไล่ล่าพวกมันแบบสุดชีวิต และพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อนำตัวลูกของเธอคืนมา
ผมชอบคำโปรยบนโปสเตอร์ของหนังเรื่องนี้มากๆ ครับ “Life can be a Real Mother” ถือเป็นคำที่สรุปสาระสำคัญของหนังได้อย่างครบถ้วนทีเดียวครับ “ชีวิต อาจเป็นแม่จริงๆ ของเราก็ได้” ^_^
สำนวนภาษาอังกฤษที่ผมชอบมากอันหนึ่งคือ put oneself in someone’s shoes แปลตามศัพท์คือ “ใครบางคนลองไปใส่รองเท้าของอีกคน” ซึ่งความหมายก็ประมาณว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา หรือลองไปยืนในมุม/จุดที่คนอื่นเขาอยู่ดู
จริงๆ หนังเรื่องนี้ควรจะเข้าทางผมอย่างแรงเลยล่ะครับ เหตุผลก็เพราะ ข้อ 1) เป็นหนังว่าด้วยการค้นหาความหมายชีวิต ข้อ 2) หนังมีฉากหลังเป็นช่วงคริสต์มาส หนึ่งในช่วงที่บรรยากาศอบอุ่นกรุ่นหอมที่สุดแห่งปี และ 3) หนังรวมดารายอดฝีมือระดับตัวพ่อตัวแม่เต็มจอไปหมด
ดูไปดูมาหนังเรื่องนี้ทำเอาผมน้ำตาไหลครับ ไม่นึกเหมือนกันว่ามันจะทำให้เราน้ำตาหยดได้ คือไม่ถึงกับไหลพรากๆ น่ะนะครับ แต่มันเหมือนเราอินอยู่ลึกๆ แล้วพอถึงนาทีตอนท้ายๆ ที่ตัวละครเริ่มน้ำตาไหล เราก็ไหลไปกับพวกเขาด้วย
ผมนั้นชอบดูหนังโรแมนติกครับ และรู้สึกได้ว่าทุกวันนี้มีหนังรักเข้าโรงน้อยลงเรื่อยๆ อาจเพราะกระแสที่เปลี่ยนไป หรือไม่ก็ถูกมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ทำให้ส่วนใหญ่หนังรักแบบเดิมๆ ก็เหลือให้ดูแค่ที่ Hallmark เป็นหลัก
หนังเรื่องนี้ผมเทใจให้การแสดงของ Natalie Portman แบบเต็มๆ ครับ คือเธอเอาทั้งเรื่องอยู่จริงๆ พลังมาเต็มตั้งแต่ต้นจนจบ (อาจจะมีช่วงที่ผ่อนบ้างอะไรบ้าง แต่ก็ไม่มากครับ) เรียกได้ว่าโดยรวมแล้วความดีงามของหนังคือ Portman จริงๆ ครับ เธอได้ใจผมไปเลย
ตอนมีการประกาศข่าวว่าจะสร้างหนังเรื่องนี้ (เป็นหนังฉายทีวีที่อเมริกาน่ะนะครับ) มีคนเคยสัมภาษณ์ Britney Spears ว่าเธอจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยมากน้อยแค่ไหน
หนังจับเอาอีกมุมของโลกการเมืองมานำเสนอครับ นั่นคือโลกของ ล็อบบี้ยิสต์ (Lobbyist) ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จมากมายในโลกแห่งการเมืองอันแสนซับซ้อน