Comedy (Series)

Doctor X Season 1-7 (2012-2021) หมอซ่าส์พันธุ์เอ็กซ์ ปี 1-7

นี่อาจไม่เชิงเป็นรีวิวนะครับ แต่ออกแนวรำลึกความหลังมากกว่า 5555

พอดีผมเพิ่งดูภาค The Movie หรือภาค Final จบน่ะครับ เลยตระหนักว่ายังไม่เคยเขียนถึงซีรี่ส์นี้เลยนี่เน้อะ ก็เลยเอาซะหน่อย ซึ่งก็ต้องบอกก่อนครับว่าเป็นการเขียนที่ทิ้งห่างจากการดูซีรี่ส์นี้มาหลายปีแล้ว ดังนั้นความทรงจำในเชิงรายละเอียดก็คงจะไม่มากเท่าไหร่ หรือถ้าใครจะถามว่าตอนผ่าตัดคนนี้อยู่ปีไหน ตอนสุดท้ายของปีไหนผ่าใครบ้างก็ต้องสารภาพล่ะครับว่าจำได้ไม่แม่นแล้ว

แต่สิ่งที่บอกได้คือ ซีรี่ส์นี้สนุกครับ ก็แหงล่ะ ถ้าไม่สนุกผมจะตามดูถึง 7 ปีเร้อะ – ถือเป็นซีรี่ส์แนวหมอผ่าตัดที่ทำออกมาได้มันส์ครับ ซึ่ง Doctor X นี่อาจจะต่างจากซีรี่ส์หมอดราม่าอย่าง Team Medical Dragon ที่จะดูเน้นในเชิงดราม่ามากกว่า แล้วก็ดูแกรนด์กว่าในบางจุด ในขณะที่ DX นี่ก็ถือว่าจริงจังในระดับหนึ่ง แต่ก็จะพ่วงความฮาบ้าบอใส่ลงมาด้วย ดังนั้นใครที่ชอบหนังหมอผ่าตัดแบบไม่หนักมาก แบบดูไปฮาไปก็น่าจะสนุกกับ DX ครับ

จากการระลึกชาติของผมแล้ว ช่วงปีแรกถึงปี 2 ผมถือว่าชอบในระดับสองดาวครึ่งครับ นั่นคือสนุก แต่อาจยังไม่ถึงกับครองใจผมได้จัดๆ แบบพวก Team Medical Dragon แต่พอมาปี 3 – 7 นี่ผมให้สามดาวเลย เหตุผลก็เพราะความสนุกมันมากขึ้น ความกลมกล่อมมันได้ที่ขึ้น และส่วนสำคัญเลยคือเราเริ่มคุ้นเคยกับตัวละครครับ ปีแรกๆ จะยังไม่ค่อยมีตัวละครประจำ แต่ปีหลังๆ นี่เริ่มมาเป็นแพ็คเกจละ ประมาณว่าพอเจอคนนั้นเดี๋ยวคนนี้ก็ต้องมา แล้วจังหวะโบ๊ะบ๊ะเฮฮามันก็เข้ากันมากขึ้น

และที่สำคัญครับ คือตัวละครสมทบทั้งหลายนั้นส่วนใหญ่จะมีพัฒนาการนะ อย่างบางคนที่ไม่ถูกกับไดม่อน (Ryoko Yonekura) ในช่วงแรกเพราะความแปลกและไม่เอาพรรคเอาพวกของเธอ แต่พอปีหลังๆ นี่เหมือนเหล่าตัวละครจะเริ่มซึมซับความเด็ดเดี่ยวสไตล์ไดม่อน หรือไม่ก็เริ่มจะมีฝีมือมากขึ้นเพราะเข้าผ่าตัดกับไดม่อนบ่อยๆ จนหลังๆ พวกเขานี่แหละครับที่คอยยืนหยัดเป็นแบ็คให้ไดม่อน บางตอนนี่เราจะดูรู้เลยว่าตัวละครเหล่านี้เก่งขึ้น พัฒนาขึ้นก็เพราะได้ร่วมงานกับไดม่อน แฃะบางช่วงนี่ก็เล่นเอาซึ้งน้ำตาซึมไปเลยก็มี

ความลุ้นของแต่ละตอนก็หนีไม่พ้นการผ่าตัดครับ อันนี้สารภาพเลยว่าระหว่างดู DX แต่ละปีใจมันจะมีความเสียวครับ มันเริ่มเป็นห่วงสุขภาพตัวเอง เพราะตัวละครในเรื่องนี่เป็นอันต้องเป็นโรคที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดมันซะทุกตอนเลย มันทำให้รู้สึกว่า “คนเราป่วยเป็นโรคใหญ่ๆ กันได้ทุกวันแบบนี้เลยหรือนี่?” ก็แอบจิตตกเหมือนกันครับ แต่ก็เข้าใจได้น่ะเน้อะ ทุกตอนมันก็ต้องมีเคสยากๆ มาให้ไดม่อนลงมือผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิตคน – ไม่งั้นจะเอาอะไรมาลุ้น – ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีครับ ทุกตอนมีอะไรให้ลุ้นตลอด อันนี้ผมชมคนเขียนบทเลยนะ พวกพี่เขาแน่จริง เพราะหาเหตุหาจุดมาทำให้ลุ้นระหว่างผ่าตัดได้ตลอด

และที่ผมชื่นชมพวกเขามากขึ้นส่วนหนึ่งก็เพราะ พวกพี่เขาเล่นท่ายากครับ คือปกติเนี่ยการเขียนบทประเภท “สร้างโจทย์ปัญหาให้ตัวเอกแก้” เนี่ย มันจะมี 2 แบบใหญ่ๆ แบบแรกคือเขียนบทให้ตัวเอกพลาดอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็ลดทอนความเก่งของตัวเอกลงเพื่อให้เกิดโจทย์ปัญหาขึ้นมา อันนี้โดยส่วนตัวผมจะชอบเรียกแบบนี้ว่า “เล่นง่าย” ครับ เพราะพี่ไม่ต้องคิดโจทย์ที่ซับซ้อนให้ตัวเอกแก้เลย แค่ลดความเก่งของตัวเอกลงก็พอ ทีนี้โจทย์ไม่ต้องยากก็ได้ ทำให้พวกวิธีแก้ก็จะไม่ต้องเค้นสมองมาก ซึ่งถือเป็นทางออกที่ง่ายๆ อันนี้พอจะเห็นภาพใช่ไหมครับ

กับอีกแบบคือ ทีมเขียนบทสร้างโจทย์ที่ยากจริงๆ ขึ้นมาให้ตัวเอกแก้ ซึ่งแบบนี้เนี่ยมันต้องงัดสมองและไอเดียมาใช้แบบเต็มที่ ผมเรียกแบบนี้ว่า “ท่ายาก” เพราะพวกพี่เขาต้องระดมสมองคิดกันให้ดีๆ เพราะโจทย์นี้มันก็จะต้องยากพอและใหม่พอสำหรับตัวเอก และสุดท้ายก็ต้องคิดหาทางให้ตัวเอกแก้ได้ ซึ่งผมว่ามันไม่ใช่ของง่ายเลยครับ

และปรากฏว่าซีรี่ส์นี้ก็ทำแบบนั้นครับ ยิ่งเคสผ่าตัดตอนสุดท้ายของแต่ละปีนี่คืออย่างมันส์และอย่างลุ้น มันมักจะยากจริงจนคนดูอย่างเรายังเหงื่อตกเลย นึกไม่ออกด้วยว่าไดม่อนจะได้แก้ยังไง แต่สุดท้ายเธอก็จะทำได้ครับ เราก็ลุ้นกันไป… คือผมมานั่งนึกย้อนนี่ยังสนุกเลยครับ และยังจำความรู้สึกระหว่างดูได้ด้วย มันลุ้นมากจริงๆ

7 ซีซั่น…กับเวลาในการฉายราวๆ 10 ปี… เวลามันผ่านไปเร็วจริงๆ นะครับนี่ แป๊บๆ ผมเป็นแฟนซีรี่ส์ชุดนี้มา 10 กว่าปีแล้ว

พอมานั่งนึกย้อนนี่ผมก็อยากขอบคุณทีมงานนะครับ พวกคุณสร้างสรรค์ซีรี่ส์สนุกๆ แบบนี้มาให้คนดูอย่างผมได้ดู ได้ลุ้น ได้แฮปปี้ ได้ใจหายใจคว่ำ และได้ฮา มันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขจริงๆ ครับ และผมก็เลยอยากขอบันทึกเอาไว้ตรงนี้ว่าผมชอบซีรี่ส์นี้ขนาดไหน

แถมอีกนิดครับ อันนี้ลืมไม่ได้เลยจริงๆ นั่นคือเรื่องของดนตรีครับ สกอร์ทั้งหลายโดยเฉพาะธีมหลักที่ได้อารมณ์แบบ “เท่ห์ + หมาป่าเดียวดาย + ซามูไรสันโดษ + คาวบอยตะวันตก + Epic อลังการ” มาผสมรวมกันได้อย่างสุดยอด อันนี้ขอคารวะ Ken Sawada เลยครับผม เป็นงานสร้างสรรค์ระดับคลาสสิคจริงๆ – แน่นอนว่าสกอร์อื่นๆ ก็ช่วยเพิ่มความน่าติดตามให้กับหนังได้อย่างชะงัดนักครับ

ส่วนเพลงช่วง End Title ปีที่ผมชอบที่สุดต้องยกให้ปี 2 ครับ กับเพลง Bi-Li-Li Emotion ของ Superfly เป็นเพลงที่มันส์ สะใจ แล้วยิ่งมาตัดเข้ากับ End Title ที่ตัดออกมาได้เร้าใจอีก ยิ่งโดนใจไปกันใหญ่ – ออกตัวเลยครับว่าผมเป็นหนึ่งในคนที่รักงาน End Title มากคนหนึ่ง ใครจะว่ามันเชยหรือตกยุคไปแล้วก็เถอะ แต่สำหรับผมแล้ว การสร้างสรรค์ Opening Title และ End Title ให้ออกมาน่าจดจำนั้น ถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งครับ

เอาเป็นว่าใครยังไม่ดูผมก็แนะนำเลยครับผม ซีรี่ส์จะมีอยู่ 7 ปี แล้วก็จะมีภาคทีวีสเปเชี่ยลอีก 1 ตอนแทรกอยู่ระหว่างปี 3 กับปี 4 แล้วจริงๆ มันยังมีซีรี่ส์แยกอีกนะครับ เป็นเรื่อง Doctor Y ที่จับเอาตัวละครคุณหมอฮิเดกิ (Masanobu Katsumura) มาแยกเรื่องไปอีก 3 ซีซั่น ความสนุกอาจไม่เท่า DX แต่ผมก็ความบ้านี่ไม่แพ้กันครับ 5555 – อ้อ แล้วก็ยังมีฉบับหนังเป็นภาค Final อีกหนึ่งด้วยครับ

สรุปนะครับ ซีรี่ส์ชุดนี้ ผมเชียร์ให้ดูครับผม

สามดาวเต็มครับ

(8/10)