Drama

JFK (1991) เจเอฟเค รอยเลือดฝังปฐพี

ถือเป็นหนังเรื่องแรกๆ ครับที่ทำให้ผมรู้จักกับคำว่าทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) ซึ่งนิยามง่ายๆ ได้ว่าเป็นเหมือนข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือเรื่องราวต่างๆ ที่ยังหาข้อสรุปชี้ชัดไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ ภาคการเมือง ซึ่งก็จะมีคนสังเกตสังกาจับหลักฐานพยานและข้อมูลเท่าที่จะหาได้ เอามาประมวลเข้าด้วยกันแล้วคาดกันไปว่าเรื่องนี้อาจเกิดจากแบบนี้แบบนั้น…

และหนึ่งในเรื่องราวที่มีคนสร้างทฤษฎีสมคบคิดกันออกมาเพื่อประเมินประมาณหาคำตอบก็คือกรณีการลอบสังหารประธานาธิบดี John F. Kennedy ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 1963 ที่เมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส

สำหรับ JFK เรื่องนี้ก็ถือว่าได้ว่าเป็นหนึ่งในทฤษฎีที่คนสมัยนั้นมองว่ามีความเป็นไปได้ ว่าสาเหตุที่ต้องมีการลอบสังหารประธานาธิบดีคนนี้ ก็อาจเกี่ยวข้องกับคนระดับสูงของรัฐ รวมไปถึงซีไอเอ เอฟบีไอ หรือในฟากฝั่งทหารที่สูญเสียอำนาจหรือผลประโยชน์บางอย่าง ซึ่งรายละเอียดทั้งหลายนั้น ตามดูตามรู้ในหนังจะเหมาะสุดครับ เพราะเหตุผลหนึ่งที่หนังเรื่องนี้ดูแล้วมันส์ ก็เพราะการได้รับรู้อะไรต่างๆ ระหว่างดูหนัง แล้วเอามาคิดตามนี่แหละ

ผมยกให้เรื่องนี้เป็นหนังแนวสืบสวนสอบสวนที่ทำได้สนุกมากๆ เรื่องหนึ่ง ไม่มีช่วงไหนที่น่าเบื่อเลยครับ หนังเล่าได้อย่างชวนติดตามแบบสุดๆ หลายช่วงนี่ถึงขั้นเร้าใจให้ตื่นเต้น ทั้งๆ ที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีแอ็คชั่นหรือการไล่ล่าใดๆ แค่ให้ตัวละครมาบอกเล่าข้อมูล ตัดสลับกับภาพแฟลชแบ็ค แล้วบวกด้วยดนตรีที่เปี่ยมพลัง เปี่ยมความเร้าใจ และเต็มไปด้วยท่วงทำนองที่ชวนให้เรารู้สึกสงสัยตามข้อมูลต่างๆ ซึ่งดนตรีระดับโคตรยอดนี่ก็มาจากฝีมือของ John Williams สุดยดคอมโพเซอร์ระดับตำนานของวงการ

ผมมั่นใจเลยครับว่าถ้าท่านเอาดนตรีช่วงที่ว่าไปเปิดระหว่างกำลังทำงานอะไรสักอย่างล่ะก็ ท่านจะรู้สึกได้ถึงความตึงเครียดที่ก่อตัว ต่อให้งานที่ว่าจะไม่เครียดขึงอะไรขนาดนั้นก็เถอะ – หากอยากสัมผัสล่ะก็ แวะไป Youtube แล้วเสิร์ชหาสกอร์ที่ชื่อ The Conspirators เอามาฟังดูครับ

หนังจะค่อยๆ เผยหลักฐานหรือเงื่อนงำต่างๆ ที่เกี่ยวกับการลอบสังหารนี้ – ตามมุมมองความเชื่อในขณะนั้นของผู้กำกับ Oliver Stone – โดยมีตัวเอกคือ จิม แกร์ริสัน (Kevin Costner) อัยการที่หมายมั่นจะหาคำตอบให้ได้ว่าใครเป็นคนบงการสังหารเคนเนดี้ ซึ่งระหว่างการสืบเขาก็ต้องเจอกับสารพัดแรงต้าน โดยเฉพาะจากเหล่ามือปริศนาที่มองไม่เห็นที่พยายามหยุดเขา หรือเหล่าพยานที่ตอนแรกก็บอกอย่างหนึ่ง แต่พอเจออีกทีก็เปลี่ยนคำให้การพร้อมด้วยท่าทีที่กลัวสุดขีดเหมือนโดนใครข่มขู่มา ไหนจะสารพัดการตายอย่างลึกลับของพยานที่จู่ๆ ก็มาพร้อมใจเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน – ถ้าไม่ด้วยปัญหาสุขภาพแบบแปลกๆ ก็ด้วยอุบัติเหตุแบบพิสดาร

หนังยาว 3 ชั่วโมงหน่อยๆ ครับ หรือถ้าเป็นฉบับ Director’s Cut ก็จะยาวเพิ่มอีกราว 17 นาที แต่ผมยังยืนยันคำเดิมว่าหนังน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ อันนี้ต้องยอมรับเลยครับว่าบทเรียบเรียงได้ดี ลำดับการเผยข้อมูลหลักฐานต่างๆ มันพอเหมาะ มันกระตุ้นเร้าให้เราอยากรู้มากขึ้นไปเรื่อยๆ ว่าตกลงแล้วคดีนี้มีอะไรอยู่เบื้องหลังกันแน่

และที่สำคัญคือมันกระตุ้นสมองดีมากๆ ครับ เพราะระหว่างดูนี่เราก็จะได้คิดตาม ลองเรียบเรียงเหตุการณ์ ลองคิดพิจารณาว่าหลักฐานนี้มันมีน้ำหนักไหม หรือหลักฐานบางอันกับข้อสรุปบางอย่างที่ทางการพยายามจะเสนอให้ชาวบ้านเชื่อเหลือเกิน เช่นประเด็นที่ว่า Lee Harvey Oswald คือคนลอบสังหารเพียงหนึ่งเดียว ทำคนเดียว ไม่มีใครมาเอี่ยวใดๆ ทั้งสิ้น – หนังก็ชี้ชวนให้เราลองใคร่ครวญว่ามันมีน้ำหนักเชื่อถือได้แค่ไหน

ถ้าลองมานับย้อนๆ ดูนี่ ผมดูหนังเรื่องนี้อย่างน้อย 3 เดือนครั้งนะ แล้วก็ดูได้ไม่เบื่อด้วย เพราะอย่างที่บอกน่ะครับว่ามันสนุกเหลือล้น และสัมผัสได้เลยว่าระหว่างดูนี่เซลล์สมองมันเต้นระบำกันยุ่บยั่บ อันนี้ต้องยกนิ้วชื่นชม Oliver Stone ด้วยที่กำกับหนังออกมาได้มันส์ขนาดนี้ และอีก 2 คนที่ลืมไม่ได้เด็ดขาดคือ Joe Hutshing และ Pietro Scalia มือตัดต่อที่ร้อยเรียงภาพและเสียงต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างสุดยอด – โดยภาพที่พวกเขาเอามาตัดเข้าด้วยกันนั้นก็มีทั้งภาพจากข่าวจริง และภาพที่ถ่ายทำขึ้นไหม – หนังดูมีพลังและทำให้คนดูติดหนึบได้เนี่ยส่วนหนึ่งก็เพราะพวกเขาเลยแหละ – แล้วก็แน่นอนว่าลีลาการตัดต่อระดับสุดยอดนี้ก็ทำให้หนังได้ออสการ์สาขาลำดับภาพยอดเยี่ยม (Best Film Editing) ไปครอง

และอีกหนึ่งออสการ์ที่หนังคว้าไปได้ก็คือ สาขากำกับภาพยอดเยี่ยม (Best Cinematography) โดย Robert Richardson ซึ่งก็ต้องยกนิ้วในดีกรีความเยี่ยมที่ไม่น้อยหน้ากัน และที่สำคัญคือลีลาเรื่องภาพนี่หนังใช้หลากหลายมากครับ ทั้งมุมกว้าง มุมแคบ – เคลื่อนกล้องหรือแช่ภาพ – ซูมเข้าซูมออก บางช่วงก้ได้อารมณ์สไตล์สารคดี ฯลฯ บอกเลยครับว่าพลังจากงานภาพนี่คืออีกหนึ่งทีเด็ดที่ทำให้หนังเรื่องนี้เร้าใจตั้งแต่ต้นไปจนจบ

ส่วนดาราที่มาเล่นนั้นก็อย่างเยอะครับ เรียกว่าคอหนังยุค 80 – 90 คงร้องอ๋อกันเป็นฉากๆ ว่าใครมาบ้าง ไม่ว่าจะ Sally Kirkland, Jay O. Sanders, Edward Asner, Jack Lemmon, Vincent D’Onofrio, Gary Oldman, Sissy Spacek, Wayne Knight, Michael Rooker, Joe Pesci, Walter Matthau, Pruitt Taylor Vince, Tommy Lee Jones, John Candy, Kevin Bacon, Donald Sutherland และ Bob Gunton เรียกว่ามากับคับคั่งจริงๆ ครับ

แต่ที่แสบสุดสำหรับผมคือ Jim Garrison ตัวจริงก็มาร่วมแสดงรับเชิญในหนังด้วย บทที่เขามาแสดงคือใครทราบไหมครับ เขารับบทเป็น Earl Warren หัวหน้าคณะกรรมการสืบสวนคดีลอบสังหารเคนเนดี้ ซึ่งในรายงานสรุปคดีที่เรียกว่า Warren Commission นั้น ได้สรุปว่า Oswald ทำเรื่องนี้คนเดียว และ Jack Ruby ที่เป็นคนลอบเข้ามายิง Oswald จนตายต่อหน้าตำรวจนั้น ก็ทำเรื่องนี้คนเดียวเช่นกัน… ซึ่ง Garrison ตัวจริงที่โดดเข้ามาพลิกคดีนี้ใหม่เนี่ย ก็เพราะไม่เชื่อใน Warren Commission ของ Earl Warren นี่แหละ

สำหรับผมแล้ว หนังเรื่องนี้ถือว่ามีคุณูปการต่อชีวิตไม่ใช่น้อย หลักๆ แล้วก็จะมีเรื่องนี้กับ Conspiracy Theory (หนังปี 1997 ของ Richard Donner) แล้วก็ซีรี่ส์ The X-Files ที่ทำให้ผมตระหนักถึง 2 สิ่ง – สิ่งแรกคือความซับซ้อนของโลก และสิ่งที่ 2 คือความสามารถของสมอง ซึ่งผมมองว่ามันคืออะไรที่เกิดขึ้นมาคู่กัน

โลกมีความซับซ้อนครับ ยิ่งโลกของมนุษย์นี่ยิ่งซับซ้อนเข้าไปใหญ่ บางอย่างอาจไม่เป็นอย่างที่เราเห็น – แต่ที่มันเป็นอย่างที่เห็นก็มี – ทำให้การด่วนเชื่ออะไรเร็วเกินไป มันอาจส่งผลเชิงลบต่อชีวิตได้ และเพื่อที่จะไม่ด่วนเชื่อ เราก็ต้องใช้สมองมาไตร่ตรอง มาลองคิดลองวิเคราะห์ มาแยกแยะความจริงหรือความเป็นไปได้ แล้วก็ค่อยประมวลผลมาเป็นคำตอบคร่าวๆ – ที่ใช้คำว่าคร่าวๆ ก็เพราะเราจะด่วนเชื่อในสิ่งที่เราสรุปเลยก็อาจจะไวไป มันอาจต้องการเวลาอีกสักนิด ต้องการหลักฐานอย่างอื่นเพิ่มอีกสักหน่อย เราถึงจะได้คำตอบที่ชัดเจนมากขึ้น

รวมถึงต้องรู้จักสังเกตให้เห็นโยงใยของสิ่งต่างๆ ในสารพัดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม ในข่าวสาร ในกระแส บนโลกกลมๆ ใบนี้ของเรา – บางความบังเอิญมันก็บังเอิญจริงๆ ครับ แต่ก็แน่ว่าที่มันไม่บังเอิญก็มีเหมือนกัน

ขณะเดียวกันเราก็ต้องคิดอย่างมีสติ ต้องมีวิจารณญาณนะครับ อีกอย่างคือต้องรู้ตัวเอง อย่างผมนี่ก็ยอมรับเลยครับว่าสมัยก่อนบางช่วงนี่ก็เคยฟุ้งไปกับความคิด เคยยึดติดไปกับความเชื่อ อันนี้เราก็ต้องมีวิธีตรวจสอบตนเอง รวมถึงมีดิสก์เบรคในหัว คอยผ่อนๆ ตัวเองไว้บ้าง อีกอย่างคือต้องพร้อมเปิดรับข้อมูลและหลักฐานใหม่ๆ อยู่เสมอ และที่สำคัญที่สุดก็คือ องค์ความรู้ใหม่ๆ อาจเปลี่ยนอะไรๆ ที่เราเคยรู้มาเลยก็ได้ อันนี้เราก็ต้องพร้อมยืดหยุ่นอยู่เสมอเช่นกัน

และอีกหนึ่งสาระสำคัญจากหนัง ก็คือการบอกกับเราตรงๆ ว่าเราเองก็ควรจับตาภาครัฐ ไม่ว่าจะหน่วยงานต่างๆ หรือรัฐบาลเองก็ตาม จะฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็เถอะ หากมีอะไรไม่ชอบมาพากลก็ควรมีการตรวจสอบ ซึ่งมันอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ประเด็นก็คือ ถ้าคนในชาติไม่ทำ แล้วจะให้ใครมาทำ

ตัวหนังจัดว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งครับ ทำเงินทั่วโลกกว่า $205 ล้าน คุ้มทุน $40 ล้านแบบสุดๆ

สรุปเลยครับว่านี่คือหนังดีที่คุ้มค่าแก่การรับชม ใครชอบแนวย้อนรอยเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์หรือแนวสืบสวนนี่คือต้องดูครับ ส่วนใครก็ตามที่อาจจะไม่แนวหรือไม่ชอบหนังที่พูดกันทั้งเรื่อง ผมก็ยังอยากให้ลองครับ เพราะมันไม่ใช่หนังที่พูดไปเรื่อยๆ เล่าไปเรื่อยๆ แบบเอ้อระเหย และช่วงตอนมันเร้าอารมณ์คนดูได้อย่างเยี่ยมจริงๆ

สี่ดาวครับ

(9/10)