
ระหว่างดู Ghostbusters: Afterlife ใจก็คิดครับว่าโจทย์ในการทำหนังภาคต่อประเภทที่ระยะห่างระหว่างภาคก่อนกับภาคนี้ยาวนานเกิน 10 ปีขึ้นไป มันย่อมต่างจากการทำภาคต่อแบบห่างกันแค่ไม่กี่ปี
ระหว่างดู Ghostbusters: Afterlife ใจก็คิดครับว่าโจทย์ในการทำหนังภาคต่อประเภทที่ระยะห่างระหว่างภาคก่อนกับภาคนี้ยาวนานเกิน 10 ปีขึ้นไป มันย่อมต่างจากการทำภาคต่อแบบห่างกันแค่ไม่กี่ปี
เหตุเกิด 42 เดือนหลังจากปี 6 (หรือ 65 วันหลังจากหนังภาคพิเศษ ตอน Redemption) คราวนี้แจ็ค บาวเออร์ (Kiefer Sutherland) กลับถูกสอบสวนจากทางการครับ ประมาณว่าปีที่แล้วๆ เขาได้ใช้ความรุนแรงระหว่างปฏิบัติการไปหลายรอบ จนท่านวุฒิสมาชิก แบลน เมเยอร์ (Kurtwood Smith) ที่ต่อต่านความรุนแรงเสมอมาจับบาวเออร์มาขึ้นศาลหวังเอาผิด
ปีก่อนจัดเต็มความมันส์ไปแล้ว ปีนี้ดีกรีความสนุกอาจไม่เท่าคราวก่อน แต่ก็ชมผู้สร้างล่ะครับที่พยายามสรรหาเรื่องราวมาสานต่อ ซึ่งก็ยังถือว่าน่าสนใจอยู่ครับ (ขอเพียงเราไม่คาดหวังน่ะนะครับ)
The Lincoln Lawyer จัดเป็นหนังขึ้นศาล+สืบสวนที่ทำออกมาสนุก น่าติดตาม มีปมและลับลมคมในให้คนดูได้บริหารสมอง เรียกว่าสนุกไม่ผิดหวังครับ
หลังจากที่เอซ เวนทูร่า (Jim Carrey) นักสืบสารพัดสัตว์ที่กำลังทุกข์ตรมอย่างหนัก เนื่องจากเขาช่วยชีวิตแรคคูนตัวหนึ่งไว้ไม่ได้ พี่ท่านเลยอัปเปหิตัวเองไปนั่งเข้าทำสมาธิที่ทิเบตโน่น เพื่อทำให้ใจสงบและละจากทางโลกทั้งมวล
ไม่ว่าลุง Anthony Hopkins จะเล่นเป็นคนชื่ออะไรใน Fracture แต่สำหรับผม นี่มัน “ดร.เลคเตอร์วางแผนฆ่าเมีย” ชัดๆ!
ไม่รอช้าให้หญ้ายาวล่ะครับ เอามาเล่าเหมาโหลกันไปให้หมด ก็หนังสัตว์โลกน่ารักมันมีเยอะนี่ครับ แล้วผมก็ทะลึ่งดูเยอะตามไปอีก เลยมีเอามาพูดบ่อยๆ
ถ้าให้ว่าตามจริงนี่ไม่ใช่หนังที่ผมชอบที่สุดนะครับ แต่มันมีความพิเศษประการหนึ่ง นั่นคือผมชอบเอามาดูในตอนเช้าวันหยุดครับ ตื่นมายามเช้า สูดอากาศไอน้ำค้างแล้วมันจะนึกถึงหนังเรื่องนี้ทุกครั้ง ถ้ามีโอกาสก็จะจัดซะ ทำแบบนี้มาตั้งแต่ตอนหนังออกวีดีโอ เมื่อปี พ.ศ. 2541 แล้วน่ะครับ
จาก James Wan และ Leigh Whannell คู่หูผู้สร้างหนังสยองขวัญเรื่องดังแห่งยุคอย่าง Saw นะครับ หลังจาก Saw ดังพวกพี่แกก็นั่งแท่นอำนวยการสร้างภาคต่อไปเรื่อยๆ ส่วนฝีมือการกำกับของแกนั้น สงวนไว้ให้โปรเจคท์นี้ครับ ประมาณว่า Wan ถือว่าทำ Saw ภาคแรกจบก็พอแล้ว ไปทำอย่างอื่นต่อดีกว่า แล้วผลที่ได้ก็คือหนังเรื่องนี้ครับ
แม้ผลงานเรื่องแรกในฮอลลีวู้ดของ John Woo อย่าง Hard Target จะไม่ค่อยทำเงินสักเท่าไร แต่อย่างน้อยลีลาการบู๊เท่ห์ ยิงแบบสโลว์ ถือปืนสองมือ สไลด์ตัวไปลั่นกระสุน แอ็กชันทั้งหมดที่ Woo พยายามถ่ายทอดมันก็ยังเข้าตาคนดูกลุ่มหนึ่ง รวมถึงผู้สร้างหลายคนก็จับตามองครับเพราะของแบบนี้ถือว่าสดพอสมควรสำหรับฮอลลีวู้ดยุคนั้น อันทำให้เขาได้โอกาสที่ 2 ในการทำหนังสัญชาติอเมริกันเรื่องนี้ครับ