Comedy

Jules (2023) จูลส์ สหายรักต่างดาว

ผมดูหนังเรื่องนี้ตอนบ่ายวันอาทิตย์ครับ ประมาณว่าหลังกินข้าวกลางวันเสร็จแล้วมันอยากดูหนังที่เบาๆ เรื่อยๆ ไม่ต้องเร่งเร้าหรือตื่นเต้นอะไร ก็เลยเลือกเรื่องนี้มาดู แล้วก็สมประสงค์กันไปครับ

เรื่องของเรื่องก็คือ มิลตัน (Ben Kingsley) ชายชราที่อาศัยอยู่บ้านคนเดียวโดยมีลูกแวะมาเยี่ยมเป็นพักๆ ทีนี้วันหนึ่งเกิดมีจานบินมาตกหลังบ้านเขาครับ นั่นทำให้เขาเจอกับมนุษย์ต่างดาวท่าทางเจี๋ยมเจี้ยมที่ในเวลาต่อมาได้รับการตั้งชื่อว่า จูลส์ ครับ

หนังให้อารมณ์เหมือน E.T. ฉบับวัยดึกน่ะครับ เพียงแต่เรื่องนั้นตัวเอกคือเด็กๆ หนังก็เลยออกแนวตื่นเต้นผจญภัยกันไป แต่พอดีตัวเอกเรื่องนี้สูงอายุกันแล้วทั้งสิ้น นอกจากมิลตันแล้วก็ยังมีเพื่อนบ้านอย่างแซนดี้ (Harriet Sansom Harris) และจอยซ์ (Jane Curtin) ซึ่งอายุรวมกันก็เกิน 200 แล้วน่ะนะครับ โทนหนังเลยมาในแนวเรื่อยๆ เนิ่บๆ แล้วก็หยอดอารมณ์ขันแบบน่ารักๆ ลงไป บวกด้วยตอนท้ายที่อาจมีอะไรให้ลุ้นบ้างนิดๆ หน่อยๆ จากนั้นก็เหยาะความ Feel Good ลงไปเป็นพักๆ ก็ประมาณนี้ครับ

ดังนั้นใครคาดหวังความหวือหวา หรือคาดหวังความฮาแบบครืนๆ ก็คงต้องปรับความเข้าใจก่อนดูครับ ส่วนผมนั้นก็กะแล้วว่าหนังคงมาประมาณนี้ แล้วก็อย่างที่บอกครับว่าอารมณ์ตอนเอามาดูน่ะคืออยากดูหนังเบาๆ เนิ่บๆ มันเลยตรงตามความต้องการแบบพอดิบพอดี

การแสดงของ 3 ดารานำก็ไว้ใจได้อยู่แล้วครับ แต่ละคนนี่รุ่นลายครามกันแล้วทั้งนั้น การสื่ออารมณ์ความรู้สึกและคาแรคเตอร์นี่ถือว่าทำได้ลื่นไหล และอีกหนึ่งของดีนี่ผมยกให้ดนตรีของ Volker Bertelmann คือเป็นอะไรที่ดีมากๆ ครับ โทนอบอุ่นมากๆ จริงๆ มันคือ “อบอุ่นของอบอุ่นของอบอุ่นของอบอุ่น” กันเลยล่ะ บางฉากนี่อารมณ์ Feel Good ก็กำลังดี ยิ่งได้ดนตรีอุ่นๆ ใส่ลงมามันลงตัวเสียนี่กระไร – อารมณ์เหมือนได้จิบเครื่องดื่มร้อนๆ รสละมุนเลยล่ะครับ

ผมชอบแนวคิดของผู้กำกับ Marc Turtletaub ที่เคยบอกไว้ว่า ตัวมนุษย์ต่างดาวในเรื่องนี้เขาออกแบบมาให้ไร้เสียง ไร้คำพูด เพิ่อเปิดโอกาสให้คนที่อยู่ใกล้ได้ค้นพบเสียงของตนเอง และเมื่อคนๆ นั้นสามารถได้ยินเสียงของตัวเองอย่างแจ่มชัดแล้ว เขาก็จะพบกับความเข้าใจ หรือไม่ก็จะเห็นโยงใยสายสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะคน สัตว์ หรือสิ่งของที่อยู่รอบตัว

“สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมอยากสื่อก็คือ การเป็นผู้ฟังที่ดีนั้นมีความสำคัญเพียงไร” Turtletaub บอกไว้อย่างนั้นครับ

ดูแล้วก็เข้าใจเลยครับ เพราะตลอดเรื่องจูลส์จะไม่ได้พูดอะไรสักแอะ แต่คนที่พูดก็คือตัวละครทั้งหลายที่ตอนแรกก็เหมือนจะพยายามสื่อสารกับจูลส์เพื่อที่จะเข้าใจว่าจูลส์เป็นใครและมาจากไหน แต่พอถึงจุดหนึ่งบทสนทนา (ที่พวกเขาพูดโดยที่จูลส์ไม่ได้โต้ตอบ) ก็จะเปลี่ยนทิศทาง คนผู้นั้นก็จะเริ่มหันมาพินิจพิจารณาสิ่งที่ตนเองเป็นและตนเองทำ

บางครั้งการฟังก็ทำให้เกิดความเข้าใจได้มากกว่าการพูดเสียอีกครับ (บางครั้งนะครับ บางครั้ง)

สำหรับผมความสนุกของการดูหนังเรื่องนี้คือการได้รู้จัก 3 ตัวเอกแบบซึมลึกทีละน้อย เราจะค่อยๆ ผูกพันกับพวกเขา จนบางฉากนี่เราอาจถึงขั้นห่วงใยและเห็นใจพวกเขาจนอยากจะเดินเข้าจอไปโอบไปกอดเลยก็ได้ อันนี้ก็ต้องชมเหล่านักแสดงที่เล่นได้ดี ชมผู้กำกับที่คุมหนังได้พอเหมาะ และขอชมมือเขียนบท Gavin Steckler ที่สร้างสรรค์เรื่องราวดีๆ ที่ชวนอบอุ่นหัวใจแบบนี้ออกมาครับ

และที่ชอบ (จริงๆ คือแอบสะใจหน่อยๆ) คือการที่หนังกัดเหล่านักการเมืองทั้งหลายว่าบางทีประชาชนพยายามจะพูดพยายามจะบอกอะไรก็ไม่ยักกะฟัง – หมายถึงตอนที่ได้ตำแหน่งและมีอำนาจในมือแล้วน่ะนะครับ – อย่างมิลตันที่ต้องมาพูดย้ำพูดซ้ำบางเรื่องบางประเด็นต่อหน้าสภาเมืองไม่รู้กี่หน แต่ก็ไม่เคยเกิดประโยชน์โพดผลใดๆ เพราะพวกพี่แกนั่งฟังไปอย่างนั้น แต่หาได้รับฟังและนำมาไตร่ตรองไม่ – เหมือนเรื่องทำนองนี้จะเกิดทั่วไปในโลกเลยนะครับเนี่ย 555 (ขำขื่นครับ ขำขื่น 555)

ผมมองว่าหนังเรื่องนี้เหมาะสำหรับคนที่อยากดูอะไรเบาๆ อะไรที่มัน Feel Good หรืออะไรที่มันไม่โหวกเหวกหวือหวาครับ หรือถ้าใครชอบ 3 ดารานำล่ะก็ ผมแนะนำเลยว่าต้องดูครับ เพราะพวกท่านเล่นกันได้อย่างเป็นธรรมชาติจริงๆ

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)