
ลุค ดอว์สัน (Tyler Hilton) ผู้จัดการศิลปินที่อาชีพกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย และถ้าเขาไม่สามารถขอลิขสิทธิ์เพลง When Christmas Was Young มาจาก เมโลดี้ ดักลาส (Karen David) ได้ล่ะก็ เขาก็จะโดนศิลปินดาวรุ่งอย่างลินด์เซย์ ไวแอตต์ (Hayley Sales) บอกเลิกสัญญาทันที
ลุคเลยต้องรีบเดินทางไปยังเมืองแจ็คสันวูดส์เพื่อเจรจาเกลี้ยกล่อมเมโลดี้ (ซึ่งจริงๆ แล้วก็เคยมีอดีตกับเขา) แต่เธอก็ไม่ตกลงด้วยเหตุผลส่วนตัวครับ และยิ่งไปกว่านั้นคือลุคเริ่มจะรู้สึกดีกับเมโลดี้มากขึ้นเรื่อยๆ – ตอนจบไม่ต้องเดาเลยครับแบบนี้
ช่วงต้นๆ หนังอาจยังไม่ลงล็อคนักครับ แต่พอลุคเข้าเมืองมาอะไรๆ ก็เริ่มไหลลื่นขึ้น อย่างแรกเลยที่ผมชอบมากคือภาพเมืองสวยๆ ครับ บรรยากาศในเมืองน่ารักและอบอุ่นดีมาก ยิ่งตอนกลางคืนนี่ตามบ้านต่างๆ มีการประดับไฟอย่างสวย ดังนั้นใครชอบหนังที่มีภาพบรรยากาศวันคริสต์มาสสวยๆ ล่ะก็ เรื่องนี้น่าจะถูกใจท่านเลยล่ะครับ
ส่วนการเดินเรื่องก็ถือว่าเรื่อยๆ ครับ เพลินๆ ดี แม้มันจะตามสูตรเอามากๆ ก็เถอะ แต่ก็ยังตอบโจทย์ความบันเทิงได้ และผมว่าตัวละครพระนางดูโอเคน่ะครับ ดูกำลังดี คาแรคเตอร์ก็กลางๆ ไม่ได้เยอะเกินหรือล้นเกิน และที่ผมชอบมากๆ คือตามสูตรของหนังแนวนี้แล้ว ตอนครึ่งหลังนี่มันจะต้องมีเหตุให้พระนางผิดใจกัน ทะเลาะกันจนเหมือนๆ จะไม่ได้ลงเอยกัน
และผมชอบจุดที่ว่านี้ครับ เพราะมันจะประมาณว่าเมโลดี้โกรธลุคมากเลยมาโวยวาย ส่วนลุคก็พยายามจะอธิบายแต่เมโลดี้ก็ไม่ยอมฟัง ซึ่งถ้าตามปกติแล้วหนังก็มักจะคาไว้ตรงนั้น ให้พระเอกนางเอกผิดใจกันแล้วก็ต่างคนต่างไป แต่กับเรื่องนี้นี่ลุคไม่ยอมครับ วิ่งตามไปที่รถเพื่ออธิบายทุกอย่าง และอธิบายแบบสรุปจบใน 2 นาที – ตรงนี้แหละที่ชอบ – เพราะหลายเรื่องพอถึงฉากแบบนี้ทีไร ผมมักจะบ่นในใจว่า “พี่ก็รีบพูดเลยสิครับ เขาจะฟังไม่ฟังก็เหอะ แต่อย่างน้อยก็ให้รู้ข้อเท็จจริงฝั่งเราบ้าง แล้วเขาจะคิดยังไงก็ว่ากันไป” แต่ส่วนใหญ่พระเอกหรือนางเอก (ที่โดนโกรธ) มักจะไม่พยายามอธิบาย และปล่อยให้เรื่องมันลุกลามบานปลาย
แต่กับเรื่องนี้นี่ โอเคเลยครับ ลุคให้ข้อมูลฝั่งของเขาแบบสั้น กระชับ และได้ใจความ แล้วจากนั้นก็ให้เมโลดี้ไปชั่งใจเอาเอง แล้วในที่สุดเมโลดี้ก็เข้าใจอันนำไปสู่บทสรุปในตอนท้ายที่แม้เราจะเดาได้อยู่แล้วว่ามันต้องแฮปปี้เอนดิ้ง แต่มันเป็นแอปปี้เอนดิ้งที่ดูแล้วถูกใจน่ะครับ คือมันไม่ใช่การลงเอยตามสูตรที่หนังกำหนด แต่ดูแล้วเราเชื่อว่าพระ-นางเข้าใจกันแล้วจริงๆ และผมว่ามันสะท้อนคาแรคเตอร์ของทั้งคู่ด้วยนะ ว่าลุคก็เป็นคนเปิดเผย ส่วนเมโลดี้ก็ไม่ได้เอาแต่อารมณ์ เธอพร้อมจะชั่งน้ำหนักฟังเหตุผลและค้นหาข้อเท็จจริง ในใจผมนี่คิดเลยว่า “เออ มันต้องอย่างนี้สิครับ ถึงจะไปกันได้น่ะ”

สิ่งถูกใจอย่างต่อมาคือแง่คิดดีๆ เรื่องเพื่อนฝูงครับ ประมาณว่าในเรื่องหนังเล่าว่าลุคเคยอยู่เมืองนี้มาก่อน และเขาเคยมีเพื่อนที่สนิทมาก แต่สุดท้ายพวกเขาก็ห่างเหินกันอันเนื่องมาจากลุคนั่นแหละที่เลือกจะปล่อยมือเพื่อนเก่าในเมืองนี้ของเขา เพราะเขามองว่าตัวเองต้องเปลี่ยนสังคมใหม่เพื่อความก้าวหน้า ดังนั้นเอาเวลาไปให้กับเพื่อนใหม่ (ที่ในทางหนึ่งก็คือคอนเนคชั่น) จะดีกว่า
จริงๆ การหาเพื่้อนใหม่ไม่ใช่เรื่องผิดหรอกครับ มันดีซะอีกที่เรามีมิตรเพิ่ม แต่การเลือกที่จะคบใครเพียงเพราะเรื่องผลประโยชน์เท่านั้นมันออกจะเป็นการปิดโอกาสตัวเองไปหน่อย จริงๆ ลุคสามารถมีเพื่อนได้ทั้งเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่ครับ ก็แบ่งเวลาคบหากันไป เพราะจริงๆ เราก็ไม่มีวันรู้หรอกว่าเพื่อนใหม่น่ะจะจริงแท้กับเราแค่ไหน (โดยเฉพาะเพื่อนสายคอนเนคชั่นที่ไม่ใช่แค่เราหวังคอนเนคชั่นจากเขา แต่เขาก็หวังคอนเนคชั่นจากเราเหมือนกัน) ดังนั้นการมีเพื่อนเก่าที่ชัวร์กว่าปึ้กกว่าเห็นกันมานานกว่า (ว่าดี) ไว้คอยเคียงข้างก็ถือเป็นอะไรที่ไม่ควรมองข้าม – เรื่องแบบนี้มันก็สะท้อนแง่มุมของชีวิตให้เราเห็นเหมือนกันนะครับ
ยังไม่หมดครับ อีกอันที่ชอบแบบคาดไม่ถึงคือเพลงครับ ซึ่งเพลงที่เป็นประเด็นหลักของหนังคือ When Christmas Was Young ที่มีชื่อเดียวกับหนังนั่นเอง ซึ่งตามปกติหนังที่มีพล็อตแบบนี้มักพยายามบอก (หรือสะกดจิต) กับคนดูว่า “เพลงนี้เพราะมาก สุดยอดมาก ดีมาก” อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ประเด็นคือกับหนังหลายๆ เรื่องน่ะ เพลงที่ตัวละครว่าเพราะหนักหนามันก็ไม่ได้เพราะขนาดนั้นสักหน่อย
แต่กับเรื่องนี้นี่ ผมว่าเพลงนี้เพราะใช้ได้เลยนะครับ ความหมายดี และอาจเพราะผมชอบทำนองแบบนี้ด้วย เลยรู้สึกในเชิงบวกไปกับเพลง อันทำให้รู้สึกบวกไปกับหนังโดยปริยาย – ประมาณว่าดูแล้วเชื่อน่ะครับ ว่าทำไมนักร้องชื่อดัง (ในเรื่อง) อย่างลินด์เซย์ถึงอยากร้องเพลงนี้มากนัก แล้วก็เชื่อว่าเพลงนี้เมโลดี้ประพันธ์ขึ้นจากใจจริงๆ ไม่ได้เป็นเพลงที่ทีมงานรีบด้นขึ้นเพื่อเอามาใช้ให้ทันในหนัง
ผมว่าผมชอบหนังเรื่องนี้มากกว่าที่คิดครับ โอเค ผมไม่ปฏิเสธว่าหลายภาคส่วนในหนังยังไม่ลงตัวไปเสียทั้งหมด บางส่วนก็ยังดีได้อีก แต่หนังก็มีของดีเข้าตา (รวมถึงเข้าไปใน “ใจ”) อยู่หลายอย่าง หักกลับลบแล้วผมเลยค่อนข้างชองหนังเรื่องนี้ครับ ไหนจะประเด็นเรื่องเพื่อน และเรื่องการเดินตามฝันอีก แม้หนังอาจจะพูดถึงสิ่งเหล่านี้แบบไม่หนักแน่นมากก็เถอะ แต่การที่หนังพูดถึงบ้างมันก็ทำให้หนังดูมีอะไรขึ้นมาพอตัวเหมือนกัน
สรุปว่าเรื่องนี้เป็นหนังรักคริสต์มาสที่ผมชอบอีกเรื่องครับ ดูแล้วแฮปปี้ ดูจบแล้วอิ่มเอม และอยากให้ท่านที่ชอบหนังแนวนี้ได้ลองกันครับ
สองดาวเฉียดครึ่งครับ
![]()
(6.5/10)










