
ผมทำใจไว้ล่วงหน้าครับว่าตามสไตล์หนังภาคต่อแล้ว เป็นเรื่องธรรมดาหากมันจะดร็อปลง ไม่โอเคเท่าภาคแรก ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ตอนต้นและตอนกลางก็เหมือนจะดร็อปลงไปบ้างจริงๆ ครับ แต่หนังมาโกยคะแนนได้เยอะในฉากไคลแม็กซ์ตอนท้าย
หนนี้เพื่อนซี้ 4 สาวใหญ่อันประกอบด้วย ไดแอน (Diane Keaton), วิเวียน (Jane Fonda), ชารอน (Candice Bergen) และ แครอล (Mary Steenburgen) ตัดสินใจยกขบวนไปเที่ยวอิตาลีครับ ซึ่งก็แน่นอนว่าทริปนี้ต้องมีความวุ่นวายโกลาหลตามแบบฉบับของพวกเธอ
ภาคแรกหนังสือที่พวกเธอร่วมกันอ่านคือ Fifty Shades of Grey ส่วนภาคนี้นี่ยกระดับมาเป็นเล่ม The Alchemist อันนำมาสู่สิ่งแรกที่ผมอยากจะบอกคือ หนังสือเล่มนี้มีการแปลไทยโดยใช้ชื่อ “ขุมทรัพย์สุดปลายฝัน” ครับ ที่ต้องนำมาบอกกล่าวกันก็เพราะเวอร์ชั่นพากย์ไทยที่ดูนั้น มีการแปลชื่อหนังสือแบบตรงตามคำศัพท์เลย คือแปลว่า “คนเล่นแร่แปรธาตุ” สารภาพว่าตอนฟังก็แอบเอ๊ะหน่อยๆ 555 แต่ก็เอาเถอะครับ พอจะมองผ่านๆ ไปได้
อย่างที่บอกครับว่าหนังภาคนี้ ตอนต้นและตอนกลางหนังพึ่งพาพลังของ 4 ดารานำค่อนข้างเยอะ คือให้พวกเธอละเลงไป วาดลวดลายไปหนังก็เพลินได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้ามองในแง่บทแล้วมันก็รู้สึกได้น่ะครับว่ามันไม่ค่อยมีอะไรนัก โดยเฉพาะประเด็นความเป็น Book Club ที่ต้องถือว่ามีการพูดอ้างถึงหนังสือไม่เยอะเท่าที่ควร อันนี้ก็แอบเสียดายเพราะอุตส่าห์จับเอาหนังสือ The Alchemist มาเล่น ซึ่งหนังสือเล่มนี้มีประเด็นทรงคุณค่ามากมายครับ แต่หนังนำมาใช้เพียงระดับโครงๆ หรือผิวๆ เท่านั้น
ดังนั้นคนที่ผมอยากเอ่ยชมก็ต้องยกให้ 4 ดารานำนี่แหละครับ พวกเธอยังคงไว้ลายวาดลีลาได้ในระดับที่น่าพอใจ หนังดูได้เพลินๆ ก็เพราะพวกเธอนี่แหละ บวกกับบรรยากาศดีๆ วิวสวยๆ ในอิตาลี ก็เลยทำให้พอจะลืมๆ ความไม่แน่นของบทไปได้
ผมชอบที่พวกเธอได้รับบทที่เหมาะกับตัวเองน่ะครับ อย่าง Keaton ก็เหมาะสุดๆ กับบทกะเปิ๊บกะป๊าบประสาทหน่อย, Fonda ก็ลื่นไหลเหลือหลายกับบทสาวเริ่ดความมั่นใจสูง, Bergen ก็เข้ามากๆ กับบทอดีตผู้พิพากษาที่มักจะเป็นดั่งสติและสมองของกลุ่ม และ Steenburgen ก็ดูเป็นแม่บ้านผู้อยู่ในกรอบ ที่ใจลึกๆ ก็อยากทะยานออกนอกกรอบ สำหรับผมนี่แค่ดูพวกเธอก็คุ้มแล้วล่ะครับ

ส่วนดาราชายก็ถือว่ามาสมทบ แต่เป็นการสมทบที่เสริมอะไรดีๆ ให้หนังได้ไม่น้อย ไม่ว่าจะ Andy Garcia ในบทมิตเชลล์ คนรักของไดแอน, Don Johnson เป็นอาร์เธอร์ คนรักของวิเวียน, Craig T. Nelson ในบทบรูซ สามีที่อยู่ในช่วงฟื้นฟูสุขภาพของแครอล – สารภาพเลยว่าฮากับพี่ท่านในหลายวาระ โดยเฉพาะตอนพยายามจะกินเบคอน และ Giancarlo Giannini ที่ดูสูงอายุกว่าเขาเพื่อน รายนี้มาเป็นคุณสารวัตรที่โผล่หน้ามาทีไรก็ทำให้ 4 สาวหนักใจได้ทุกที
ครับ ช่วงต้นกับช่วงกลาง แม้จะดูได้เรื่อยๆ เพราะพลังดาราของ 4 สาว แต่ก็ยอมรับครับว่ายังไม่โดนใจนัก จนผมร่ำๆ จะรู้สึกว่าคงไม่ชอบภาคนี้เท่าภาคแรกล่ะกระมัง แต่กลายเป็นว่าพอถึงช่วงไคลแม็กซ์ ช่วงที่ว่านี่หนังสามารถแจกแจงเกลี่ยความเด่นให้กับ 4 สาวได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกคนต่างมีโมเมนต์ของตัวเอง ปมแต่ละปมที่ถูกผูกขึ้นมาได้รับการคลี่คลายอย่างพอเหมาะ ซึ่งผมบอกเลยครับว่าหนังสรุปเรื่องราวได้อย่างออกรสและพอเหมาะกลมกล่อม มันดีมากพอที่จะทำให้ผมจากที่รู้สึกเรื่อยๆ กับหนัง – ไม่ได้ชอบอะไรมาก – พลิกกลับมาเป็นรู้สึกโอเคกับหนังไม่น้อยหน้าภาคแรกไปในบัดดล
แอบคิดว่าถ้าช่วงต้นและช่วงกลางมันบทแน่นกว่าที่เป็น ดีไม่ดีผมอาจชอบภาคนี้แซงหน้าภาคแรกก็ได้
แต่ในแง่รายได้นั้น หนังทำได้น้อยกว่าภาคแรกแบบเห็นได้ชัดครับ ภาคแรกโกยไป $104 ล้านจากทั่วโลก ในขณะที่ภาคนี้ทำไปเพียง $29 ล้านเท่านั้น (ทุนสร้างราวๆ $20 ล้านครับ หนังจึงจัดว่าติดตัวแดงอยู่หน่อยๆ)
สรุปว่า พอดูจบแล้ว ผมรู้สึกโอเคกับหนังพอๆ กับภาคแรกครับ นั่นเป็นเพราะฤทธิ์ของฉากไคลแม็กซ์ของภาคนี้แท้ๆ ดังนั้นถ้าใครดูภาคแรกแล้วชอบ ก็ตามมาดูภาคนี้เถอะครับ อย่างน้อยผมว่าเรื่องราวในภาคนี้ก็คุ้มค่าแก่การรับชม ยิ่งถ้าใครชื่นชอบพวกเธอทั้ง 4 มาจากภาคก่อน การได้เห็นบทต่อมาของชีวิตพวกเธอ ก็อาจจะทำให้ท่านได้รับพลังบวกจากพวกเธอก็เป็นได้
สองดาวกว่าๆ ครับ

(6.5/10)
หมวดหมู่:Comedy, Feel-Good Movies, Movie Reviews, Romance, Romance Romance, Romantic Comedy










