Anthology Movies/Series

Ghost Stories (2017) โกสต์ สตอรี่ พิสูจน์ผี

Untitled07545

ศาสตราจารย์ฟิลลิป กู๊ดแมน (Andy Nyman) ไม่เชื่อเรื่องผีสางและเรื่องเหนือธรรมชาติใดๆ อาชีพของเขาคือเปิดโปงพวกคนทรงลวงโลกและจับผิดเรื่องต่างๆ ที่ใครๆ ว่ามีผีอยู่เบื้องหลัง

ทีนี้อยู่มาวันหนึ่งเขาได้พบกับชาร์ลส์ คาเมรอน นักพิสูจน์เรื่องเหนือธรรมชาติที่เขานับถือ ชาร์ลส์มักบอกเสมอว่าเริ่องผีทั้งหลายคือเรื่องหลอกลวง แต่ในวันนั้นชาร์ลส์กลับบอกกับฟิลลิปว่าเขาน่ะคิดผิด เพราะเขาพบว่ามี 3 เคสเหนือธรรมชาติที่เขาไม่สามารถอธิบายได้ และเขาท้าให้ฟิลลิปสืบหาความจริงเกี่ยวกับ 3 เคสนี้

เคสที่ 1 ว่าด้วยยามกะดึกชื่อ โทนี่ แมทธิวส์ (Paul Whitehouse) ที่เคยรับงานเฝ้าสถานที่ร้างที่มีประวัติหลอนชวนสะพรึง และในคืนหนึ่งเขาก็ได้ประสบพบเจอกับเรื่องหลอนเข้ากับตัว

เคสที่ 2 ว่าด้วยไซม่อน ริฟไคด์ (Alex Lawther) เด็กวัยรุ่นท่าทางแปลกๆ ที่เล่าให้ฟังถึงวันที่เขาเอารถของพ่อไปขับ และในขณะที่เขากำลังอยู่บนถนนสายเปลี่ยวนั้นเอง เขาก็ขับรถไปชนตัวอะไรบางอย่างเข้า และนั่นล่ะครับคือจุดเริ่มของเรื่องสะพรึงที่เขาจดจำแบบไม่มีลืม

เคสที่ 3 ว่าด้วยไมค์ พริดเดิ้ล (Martin Freeman) นักลงทุนผู้มั่งคั่งที่มั่นใจว่าในบ้านของเขาต้องมีผีสิงแน่นอน เพราะจู่ๆ ข้าวของในบ้านก็ลอยพุ่งขึ้นมาเองได้ หรือไม่ก็เรียงตัวต่อกันโดยไร้คำอธิบาย แต่นั่นมันแค่เริ่มต้นครับ เพราะของจริงคือเรื่องที่เขาได้เจอในกลางดึก… คืนที่ภรรยาของเขาไปคลอดลูก

และหลังจากที่ฟิลลิปฟังเรื่องเล่าทั้ง 3 เคสแล้ว ยังมีอะไรที่คาดไม่ถึงรอให้เขาเผชิญอยู่…

จริงๆ ผมชอบบรรยากาศของหนังนะครับ ชอบเรื่องเล่าทั้ง 3 เคสที่จัดว่าน่าสนใจ และโทนก็น่ากลัวดี อย่างเคสแรกนี่ไฮไลท์คือตอนที่โทนี่ต้องเดินสำรวจรอบอาคารร้างเพียงคนเดียว ท่ามกลางความมืดล้อมรอบตัว มีเพียงไฟฉายกระบอกเล็กๆ ในมือของเขาเท่านั้นที่ให้แสงสว่าง ช่วงนี้นี่ใช้ได้เลยครับ ได้อารมณ์หลอนตามสไตล์ฉากสำรวจที่รกร้างกลางความมืด

Untitled07546

ส่วนเคสที่ 2 ผมชอบบรรยากาศหลอนๆ แปลกๆ ที่หนังจัดให้ คือมันแปลกตั้งแต่ก้าวแรกๆ ที่ฟิลลิปเดินเข้าบ้านของไซม่อนแล้วครับ ยิ่งฉากตอนที่ฟิลลิปเห็นพ่อแม่ของไซม่อนอยู่หันหลังให้อยู่ในครัวนั่นก็หลอนได้ใจแล้วล่ะ และบรรยากาศในบ้านก็แปลกๆ ประหนึ่งว่าตัวบ้านเองก็มีความลับซ่อนอยู่ ส่วนตอนไซม่อนเจอดีกลางถนนนั่นก็ถือว่าไม่เลวอีกเช่นกัน

ส่วนเคสที่ 3 ผมชอบลีลาการเล่าของไมค์ และตอนที่ว่านี่ก็มี Jump Scare ที่ไม่เลว ดังนั้นจริงๆ ผมชอบนะ ชอบทั้ง 3 เรื่องเลย

ทีนี้ตามสูตรของหนังแนวนี้คือมันมักจะมีการหักมุมตอนท้ายใช่ไหมฮะ คือเราก็พอจะเดาๆ ได้นั่นแหละว่าเดี๋ยวพอเล่าครบ 3 เคสแล้วตัวฟิลลิปต้องเจอดีอะไรสักอย่างแน่นอน ซึ่งบทสรุปตอนท้ายจริงๆ ผมเข้าใจได้ครับ เพราะมันเป็นบทสรุปแบบที่เคยเจอมาแล้วในหนังแนวนี้ แต่กับเรื่องนี้กับการสรุปแบบนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันทำให้ความขลังที่หนังสร้างมาดูอ่อนพลังลงยังไงก็ไม่รู้สิ… ผมว่าผมต้องสปอยล์แล้วล่ะ เดี๋ยวไม่เห็นภาพ

====================
======สปอยล์ครับ======
====================

เรื่องนี้สรุปจบตรงที่ จริงๆ แล้วฟิลลิปเป็นคนป่วยหนักอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งครับ และเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหัวของเขานั้นเป็นจินตนาการที่เขาสร้างขึ้นมาเอง โดยใช้คนในโรงพยาบาลนั้นเป็นตัวละครในเรื่องราวแต่ละเคส ซึ่งการหักมุมแบบนี้ผมเข้าใจได้ครับ

แต่กลายเป็นว่าพอผมดูจบ ผมก็เกิดตรรกะขึ้นมาประมาณว่า “อ้าว งั้นแสดงว่าไอ้แต่ละเคสที่เราดูไปนั้น มันเป็นเพียงจินตนาการในหัวของฟิลลิปที่ป่วยหนักอยู่เท่านั้นเองน่ะสิ” – คือ ผมเข้าใจนะครับว่าจริงๆ เรื่องราวเหล่านี้มันก็คือเรื่องแต่งนั่นแหละ แต่ประเด็นหลักที่หนังเปิดไว้คือ “คนที่ไม่เชื่อเรื่องผี กำลังจะพบว่าผีน่ะมีจริง” ซึ่งถ้าหนังจบสรุปแบบให้ฟิลลิปเจอดี เจอหลอนจนบ้าหรือจนตายไปเลย ผมว่ามันจะหลอนกว่านะ ประมาณว่า “ไม่เชื่อดีนักใช่ไหม เจอของจริงซะเลยเป็นไง” – ถ้าจบแบบนั้นผมว่ามันจะเป็นอะไรที่ครบวงจรน่ะครับ คือเปิดไว้ด้วยปมนี้ ก็ปิดปมสรุปว่า “ในที่สุด คนไม่เชื่อเรื่องผีอย่างฟิลลิป ก็เจอความจริง แต่ต้องแลกด้วยชีวิต” อะไรทำนองนี้ มันดูเข้ากัน

แต่นี่คือหนังเปิดปมไว้ แต่ลงท้ายดันไปอีกลู่เลย คือกลายเป็นว่าฟิลลิปคิดไปเอง จินตนาการไปเอง คือถ้าให้นิยามก็คงเป็นว่า หนังเปิดตัวมาด้วยเรื่องผีๆ แต่ลงท้ายดันออกแนวไซไฟเสียมากกว่า

แต่มันทำให้ผมรู้สึกจริงๆ นะ คือระหว่างดูผมชอบบรรยากาศหลอนๆ ที่หนังมอบให้ ใจมันชอบไปแล้วน่ะครับ หัวมันคิดว่า “หลอนได้เข้าท่า ดูแล้วใจมันคล้อยตามแฮะ” แต่พอจบแบบนี้ ความคิดในหัวมันเด้งขึ้นมาเลยว่า “อ๋อ ทั้งหมดเป็นเรื่องในหัวนายเท่านั้นเองเหรอ… สรุปคือไม่จริงใช่ไหม? โอเค” แล้วความรู้สึกกลัวที่ผมเคยมีต่อฉากเหล่านั้น – ที่ผมบรรยายไป – มันหายกลัวเลยครับ เพราะหัวมันรับรู้แล้วว่า “ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นแค่เรื่องในหัว”

“ผีมีจริงหรือไม่?” อันนี้ก็เรื่องหนึ่งนะครับ มุมมองของแต่ละท่านผมจะไม่ก้าวล่วง – แต่ผมคิดว่าหนังผีที่เวิร์กน่ะ ต้องทำให้ใจคนคิดและเชื่อไปในเชิงว่า “ผีมีจริง” มันจะได้เกิดความหลอน เกิดความกลัว เกิดจินตนาการเป็นตุเป็นตะ แต่พอหนังเลือกเดินทางนี้ มันก็กลายเป็นการปลดล็อคในหัวเราไปในบัดดล จากที่เชื่อหรือเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก็จะกลายเป็น “อ๋อ สรุปว่าไม่จริงใช่ไหม” – The End.

คือผมก็ไม่แน่ใจว่าคนทำต้องการสื่อว่า “เรื่องผีคือเรื่องที่มนุษย์คิดไปเอง” หรือเปล่าน่ะนะครับ คือถ้าพี่จะสื่อแบบนั้น ผมก็ว่าพี่ทำสำเร็จนะครับ เพราะมันทำให้ผมเลิกหลอนเรื่องที่พี่เล่าไปเลย

====================
======หมดสปอยล์======
====================

Untitled07547

ก็ตามนั้นครับ สรุปคือผมชอบทั้ง 3 เรื่องเล่าและโทนของหนังครับ มันหลอน มันน่ากลัวไม่เลว แต่ด้วยบทสรุปของหนังมันกลับทำให้ผมรู้สึก “หายกลัว” ไปโดยปริยาย แต่กระนั้นคนที่ชอบหนังผีแบบหลายๆ เรื่อง in 1 ก็อยากให้ลองครับ งานสร้างถือว่าดี ฉากต่างๆ ทำหน้าที่ของมันได้อย่างพอเหมาะ ฉากไหนอยากให้หลอนก็หลอน อยากให้จิตผวาก็ผวา ดาราก็แสดงกันได้ดี ถือเป็นหนังผีจากอังกฤษที่เข้าท่าไม่น้อย

เกร็ดที่อยากนำมาเล่าก็คือ เหตุการณ์เปิดโปงคนทรงลวงโลกตอนต้นเรื่องนั้น อิงมาจากเหตุการณ์จริงครับ มีคนทรงที่ใช้วิธีบอกให้คนที่จะมาเข้าร่วมพิธีให้เขียนบรรยายสิ่งที่ตนต้องการเอาไว้ในกระดาษ แล้วพอถึงตอนพิธีการคนทรงก็จะแอบใส่หูฟัง รอให้ผู้ร่วมขบวนการป้อนข้อมูลของคนเหล่านั้นให้ตนเองนำไปใช้แอ็คท่าว่าตนเป็นผู้หยั่งรู้

เรื่องสายมูนี่จะเชื่อหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคนน่ะนะครับ ก็ขอให้เชื่ออย่างมีสติ เชื่อให้เกิดความเจริญ และระมัดระวังตนเองไว้ อย่าปล่อยให้ตนต้องตกเป็นเหยื่อคนที่ตั้งใจหากินกับความเชื่อในลักษณะนี้

สรุปว่าเป็นหนังผีหลายเรื่อง in 1 ที่ไม่เลวครับ ใครชอบแนวนี้ลองกันได้ ลองแล้วก็มาบอกด้วยนะครับว่าพอดูจบแล้วท่านรู้สึกแบบผมไหม – ไม่แน่ว่าผมอาจจะรู้สึกอยู่คนเดียวก็ได้ 555

สองดาวกว่าๆ ครับ

Star21

(6.5/10)