Adventure

Lord of the Flies (1990)

Untitled07500

ดัดแปลงจากวรรณกรรมอมตะของ William Golding ครับ เรื่องของเด็กกลุ่มหนึ่งที่ต้องไปติดอยู่บนเกาะร้าง แล้วก็ต้องพยายามหาทางมีชีวิตรอดให้นานที่สุดด้วยความหวังว่าจะมีคนมาช่วย

ตอนต้นๆ พวกเขาก็ดูมีเหตุผล มีการแต่งตั้งหัวหน้า มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม ช่วยเหลือกันและกันเท่าที่จะทำได้ แต่ครั้นเวลาผ่านไปก็เริ่มมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งชนแบ่งชั้น สัญชาตญาณการเอาตัวรอดเริ่มแรงขึ้น จนทำให้เกิดความรุนแรง เกิดการแย่งชิงและขัดแย้งกัน จนนำมาสู่เรื่องชวนสลดในเวลาต่อมา

หนังสะท้อนให้เห็นครับว่ามนุษย์นั้นมีด้านมืด ผู้ใหญ่ก็มี เด็กก็มี ขึ้นอยู่กับเวลาและสถานการณ์จะนำพาไป ซึ่งหนังก็ฉายให้เห็นภาพอันน่ากลัวและน่าสลดอันเกิดจากด้านมืดของมนุษย์ได้อย่างเข้าท่าไม่น้อย แต่ก็ยอมรับครับว่าระหว่างดูนั้นผมไม่ได้รู้สึกสะดุ้งโหยงหรือสยองขนลุกอะไรมาก อาจเพราะจะว่าไปแล้วทุกวันนี้เราเปิดทีวีหรือไถหน้าจอมือถือเราก็จะเจอข่าวการทำร้ายกัน การประหัตประหารกันแทบทุกวัน และมันเกิดขึ้นแบบไม่จำกัดวัยครับ คนวัยเด็กกระทำรุนแรงต่อกันก็มีให้เห็นบ่อยๆ

ณ ยุคหนึ่งสิ่งที่ถูกบอกเล่าในหนัง (หรือในนิยาย) มันอาจฟังดูน่าตกใจ แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในยุคที่เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิตจริง เกิดขึ้นทั่วไปในโลก และเกิดซ้ำมากขึ้นๆ… ณ จุดนี้ผมกำลังถอนหายใจเฮือกใหญ่เลยครับ – มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีแน่ๆ ล่ะ

ฉากหนึ่งที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของหนัง คือตอนที่ตัวละครหนึ่งพยายามพูดเรียกสติ พูดให้ทุกคนหันหน้าเข้าหากัน ให้ทุกคนใจเย็นและหันมาร่วมมือกันเพื่อความอยู่รอด – แต่แล้วบทลงเอยของผู้พูดกลับชวนให้เศร้าใจอย่างยิ่ง

จริงๆ ในเบื้องต้นคนเราส่วนใหญ่ก็คงรู้น่ะครับ ว่าถ้าหากจะอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเป็นสุข ก็ควรมีสติ ควรใจเย็นๆ อย่าใช้แต่อารมณ์ ฯลฯ แต่ในทางปฏิบัติ ขอเพียงมีคนใช้อารมณ์แบบแรงๆ สักคน สถานการณ์ก็กลายเป็นหายนะได้อย่างง่ายดาย

หนังเรื่องนี้พยายามบอกสิ่งเหล่านี้ เช่นเดียวกับที่นิยายเรื่องนี้พยายามบอกและกระตุ้นเตือน พร้อมทั้งคนอีกหลายคน หนังสืออีกหลายเล่มที่พยายามสื่อสารให้โลกบรรเทาความรุนแรงและขัดแย้งลง – แต่โลกก็ยังคงมาสู่จุดนี้ สังคมก็ดูจะน่ากลัวขึ้นแบบนี้… เราจะทำยังไงกันต่อไปดี? – แต่ที่แน่ๆ คืออยู่เฉยต่อไปไม่น่าจะดีแล้วล่ะครับ

Untitled07501

อีกประเด็นที่รู้สึกชอบเป็นการส่วนตัว คือประเด็นความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ – อย่างเจ้าปีศาจในถ้ำนั่น – การที่คนหนึ่งคนกลัวสิ่งนั้น แล้วคนทั้งกลุ่มก็พากันกลัวไปตามๆ กัน โดยที่ยังไม่รู้อย่างแท้จริงว่าสิ่งนั้นคืออะไร และกลายเป็นว่าเมื่อมีใครสักคนพยายามค้นหาคำตอบจนพบ กลับไม่มีใครได้รับฟังความจริงนั้น เนื่องมาจากทุกคนพากันกลัวจนอุนจิขึ้นสมอง – เรื่องแบบนี้อาจกำลังเกิดขึ้นในมุมใดมุมหนึ่งของโลก ณ ขณะนี้ก็เป็นได้… ใครจะรู้?

กลับมาที่ตัวหนัง โดยรวมถือว่าหนังทำได้ดีในระดับหนึ่งครับ จุดที่เด่นมากคือโลเคชั่น – หนังไปถ่ายกันที่จาไมก้าและฮาวายครับ – ภาพต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจีขึ้นกันหนาแน่นทำให้รู้สึกคล้อยตามว่าพวกเขากำลังติดเกาะร้างกันจริงๆ ส่วนดาราเด็กแต่ละคนผมว่าก็เล่นได้โอเค การเล่าเรื่องก็ถือว่าเรื่อยๆ น่าติดตามพอตัว แต่ขณะเดียวกันหนังก็จับเอาประเด็นจากหนังสือมาสื่อความได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งจุดนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะยกความรับผิดชอบให้ Jay Presson Allen ที่รับหน้าที่ดัดแปลงจากหนังสือมาเป็นบทภาพยนตร์ได้ไหม เพราะว่ากันว่าบทที่เธอดัดแปลงมานั้นมีอะไรมากกว่าที่เห็นในหนัง และเธอก็ไม่พอใจกับผลลัพธ์ของหนังอย่างยิ่ง จนเธอร้องขอให้ผู้สร้างใส่ชื่อปลอมว่า Sara Schiff ลงไปในเครดิตแทนที่จะให้ใช้ชื่อเธอจริงๆ – ว่าง่ายๆ คือเธอก็ไม่ยอมรับผลงานชิ้นนี้สักเท่าไรนั่นเองล่ะครับ

เกร็ดของหนังที่อยากนำมาเล่าก็คือ ก่อนที่หนังจะเริ่มถ่ายทำ พอดีว่า Balthazar Getty ที่รับบทราล์ฟนั้นประสบอุบัติเหตุตกต้นไม้จนแขนหักครับ ผู้กำกับ Harry Hook เลยตัดสินใจเขียนบทเพิ่มให้มีช่วงที่ราล์ฟแขนหัก จะได้ไม่เสียเวลาในการถ่ายทำ ดังนั้นที่เราเห็นในหนังว่าราล์ฟแขนหักแล้วก็ต้องใส่ผ้าคล้องแขนนั้น Getty แขนหักจริงครับ และบางฉากที่เขาแสดงอาการปวดนั้นก็เป็นความปวดจริงๆ

สำหรับเด็กๆ ที่แสดงในหนังเรื่องนี้ คนที่ได้ไปต่อในวงการดูเหมือนจะมีเพียง 2 คน คือ Getty ที่ในเวลาต่อมาได้ร่วมแสดงใน Young Guns II, Lost Highway และหนังสยองเรื่อง Feast กับอีกคนก็คือ James Badge Dale ที่แสดงเป็นไซม่อน รายนี้ได้ไปไกลกว่าหน่อย โดยผลงานที่หลายท่านน่าจะคุ้นเคยก็มี The Departed, World War Z, Iron Man 3 และ 13 Hours

และหนังเรื่องนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็นผลงานลงโรงชิ้นแรกของค่าย Castle Rock Entertainment ด้วยครับ

ถือเป็นหนังสะท้อนสังคม สะท้อนความเป็นคน ที่ดูแล้วอาจไม่จรรโลงใจ ไม่ทำให้รู้สึกแฮปปี้ แต่กระนั้นหนังก็ทำให้เรารู้สึกน่ะครับ ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีหากจะปล่อยให้โลกอุดมไปด้วยความรุนแรง การแก่งแย่ง การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย – ยิ่งคนในสังคมปริแตกแยกจากกันมากเท่าไร โลกมันก็อยู่ยากขึ้นเท่านั้น

สองดาวกว่าครับ

Star21

(6.5/10)