
ใครที่คาดหมายว่าหนังเรื่องนี้จะจัดเต็ม Effect กระหน่ำแอ็กชัน อุดมฉากเร้าใจลุ้นระทึกแบบที่หนังแนวภัยพิบัติส่วนใหญ่มักจะเป็นกันล่ะก็ ขอบอกตรงนี้เลยครับว่า Only the Brave ไม่ใช่อะไรแบบนั้น
ใครที่คาดหมายว่าหนังเรื่องนี้จะจัดเต็ม Effect กระหน่ำแอ็กชัน อุดมฉากเร้าใจลุ้นระทึกแบบที่หนังแนวภัยพิบัติส่วนใหญ่มักจะเป็นกันล่ะก็ ขอบอกตรงนี้เลยครับว่า Only the Brave ไม่ใช่อะไรแบบนั้น
สิ่งแรกที่สะดุดใจผมก่อนดูหนังเรื่องนี้คือ หนังยาวประมาณ 2 ชั่วโมง 10 กว่านาทีครับ ซึ่งถือเป็นความยาวที่มากอยู่สำหรับหนังสยองสไตล์นี้ เพราะปกติทั่วไปหนังสยองแบบนี้ (แบบที่ว่าด้วยปีศาจหรืออาถรรพ์อะไรสักอย่าง ไล่ล่าคร่าชีวิตคน) มักจะยาวที่ 90 กว่านาที หรืออย่างเก่งก็ 100 นาทีนิดๆ เท่านั้น ใจก็เกิดคำถามเหมือนกันครับว่าเพราะอะไรหนอหนังถึงยาวแบบนี้
เหตุการณ์ในปีนี้เกิดหลังจากปี 2 เป็นเวลา 3 ปีครับ เป็นช่วงที่ ท่านประธานาธิบดีปาล์มเมอร์ (Dennis Haysbert) กำลังจะหมดวาระลง ซึ่งท่านก็กำลังถูกโจมตีจากคู่แข่งอย่างหนักด้วย
พอมาดูเรื่องนี้แล้วบังเกิดความคิดว่าจริงๆ แล้ว Michael Bay แกเป็นผู้กำกับหนังแอ็กชันที่เก่งนะ แล้วแกคงรู้แหละว่าอะไรเป็นอะไร ต้องทำแบบไหนหนังถึงจะออกมาดูแน่นมีคุณภาพ และต้องทำแบบไหนหนังถึงจะออกมาโกยเงิน
ว่าตามจริงหนังเรื่องนี้ถือเป็นประเภท “สัตว์โลกน่ารัก” นะครับ ประเภทว่าตัวละครโชคร้ายกลุ่มหนึ่งต้องผจญกับสัตว์ร้ายที่สามารถฆ่าพวกเขาได้อย่างโหดเหี้ยม (ในที่นี้พวกมันคือ “ฝูงหมาป่า” ครับ) ทำให้พวกเขาต้องหาทางรอด แต่ก็ต้องมีคนโดนขย้ำบ้างประปราย แล้วก็ต้องมีคนพูดจากวนโอ๊ยชาวบ้าน อวดดีอะไรบ้าง ในขณะที่พระเอกก็จะต้องฉลาดที่สุด คอยนำเหล่าผู้รอดชีวิตหนีจากพวกสัตว์ร้าย
ตอนแรกนั้นผมกะจะขึ้นประโยคแรกของรีวิวว่า “การทำหนังแอ็กชันแนวคาวบอยตะวันตกเป็นเรื่องยาก” แต่พอนึกถึงความอร่อยสาแก่ใจใน Django Unchained เลยขอถอดประโยคที่ว่าออกจากสารบบในทันที
ด้วยหน้าหนังตอนแรกทำให้ผมนึกว่านี่จะเป็นหนังเกี่ยวกับหน่วยพิฆาตผี ประมาณว่ากองทัพฝึกหน่วยนี้มาเป็นพิเศษเพื่อรับมือกับกองทัพภูตผีปีศาจต่างๆ แต่ครั้นพอได้ดูก็พบว่ามันไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียวครับ
ถ้ามองหนังเรื่องนี้ในฐานะ “ก้าวที่ 3 ของ Iron Man” ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจ ยิ่งถ้ามองในฐานะ “ก้าวที่ 1 ของ Marvel Phase 2” ก็ยิ่งรู้สึกว่าหลายอย่างในหนังเรื่องนี้ ช่างสะดุดตานัก