Biography

The Aviator (2004) บิน รัก บันลือโลก

Untitled06776

เรื่องราวชีวิตของมหาเศรษฐีโฮเวิร์ด ฮิวจ์สนั้นมีคนจดๆ จ้องๆ จะเอามาทำเป็นหนังมานานมากๆ และที่เกือบจะเป็นรูปเป็นร่างก็นับได้ 7 ครั้งเป็นอย่างน้อย

ครั้งแรก ราวต้นยุค 70 ตอนนั้น Warren Beatty หมายมั่นว่าจะว่าจะกำกับและนำแสดง

ครั้งที่ 2 ราวปี 1993 ตอนนั้น John Malkovich กับ Russell Smith (ที่เคยร่วมกันทำ Of Mice and Men ฉบับปี 1992) ก็คิดจะสร้างหนังเกี่ยวกับโฮเวิร์ด ฮิวจ์ส

ครั้งที่ 3 Allen Hughes และ Albert Hughes 2 พี่น้องแห่งหนัง From Hell วางแผนว่าจะสร้างโดยจะให้ Johnny Depp มาแสดงเป็นฮิวจ์ส

ครั้งที่ 4 มี Brian De Palma (Mission: Impossible) จะนั่งเก้าอี้กำกับและมี Nicolas Cage นำแสดง แต่เนื่องจากมีการประเมินว่าต้องใช้ทุนสร้างถึง $80 ล้าน โปรเจคท์เลยพับไป – ว่ากันว่าอีกเหตุผลที่ทำให้โครงการล่มก็เพราะหนัง Snake Eyes ที่ Cage แสดงและ De Palma กำกับดันไม่ทำเงิน

ครั้งที่ 5 เป็นช่วงต้นยุค 2000 ครั้งนี้ Milos Forman แห่ง One Flew Over the Cuckoo’s Nest ก็ว่าจะกำกับ แล้วให้ Edward Norton มารับบทฮิวจ์ส

ครั้งที่ 6 ผู้กำกับ William Friedkin แห่ง The Exorcist ออกมาประกาศว่าเขาจะเอาชีวประวัติของฮิวจ์สมาสร้างเป็นหนังความยาว 3 ชั่วโมง

ครั้งที่ 7 ผู้กำกับ Christopher Nolan คิดจะทำหนังว่าด้วยชีวิตในช่วงปีสุดท้ายของฮิวจ์สซึ่งว่ากันว่าจะมีเนื้อหาหม่นมืดและคนที่จะมารับบทฮิวจ์สก็คือ Jim Carrey

Untitled06777

ส่วนโปรเจคท์หนนี้ที่สำเร็จเป็นหนังออกมาได้ รายที่ผลักดันและตั้งใจจะกำกับในทีแรกก็คือ Michael Mann (แห่ง Heat) แต่เนื่องจากตอนนั้นเขากำกับหนังแนวชีวประวัติหรือแนวสร้างจากเรื่องจริงมาแล้ว 2 เรื่องติดๆ กัน (ซึ่งก็คือ The Insider แล้วต่อด้วย Ali) เขาเลยโยกตัวเองมานั่งเก้าอี้ผู้อำนวยการสร้างแทน – แต่บางกระแสก็บอกว่าเพราะทั้ง The Insider และ Ali ไม่ทำเงินทั้งคู่ Mann เลยถูกถอดออกจากกำกับ – แล้ว Mann ก็จัดแจงส่งสคริปเสนอไปให้กับ Martin Scorsese ซึ่งเขาก็สนใจครับ แล้วผลก็ออกมาเป็นหนังเรื่องนี้

หนังบอกเล่าชีวิตของมหาเศรษฐีโฮเวิร์ด ฮิวจ์ส (Leonardo DiCaprio) ตั้งแต่ตอนที่เขาทำหนังทุนสูงแห่งยุคอย่าง Hell’s Angels จากนั้นก็มาคบหากับดาราดังอย่างแคทเธอรีน แฮปเบิร์น (Cate Blanchett) และตามด้วย เอวา การ์ดเนอร์ (Kate Beckinsale) แล้วก็ไล่มาถึงช่วงที่เขาต้องงัดข้อทางธุรกิจกับคู่แข่งอย่างฮวน ทริป (Alec Baldwin) เจ้าของสายการบินแพนแอม และอีกประเด็นที่สำคัญคือปัญหาสุขภาพของฮิวจ์สที่เขามีอาการของโรคย้ำคิดย้ำทำ (Obsessive–Compulsive Disorder หรือ OCD) และโรคกลัวเชื้อโรค (Germaphobia) ซึ่งส่งผลต่อชีวิตในช่วงบั้นปลายของเขาอย่างยิ่ง

นี่เป็นหนังชีวิตในแบบฉบับของ Scorsese ครับ คือถ้าเป็นหนังดราม่าทั่วไปมันก็จะมีการเล่าแบบช้าๆ เรื่อยๆ ให้เราค่อยๆ ซึมซับอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร แต่สำหรับฉบับของ Scorsese นี่เขาจะเล่าแบบฮ่อตะบึง ควบไปข้างหน้า เน้นจับเอาเฉพาะช่วงสำคัญ ฉากสำคัญของชีวิตฮิวจ์สมาร้อยเรียงต่อกัน ดังนั้นหนังจึงไม่เอ้อระเหยครับ เล่าแบบเนื้อๆ ให้รู้จักฮิวจ์สแบบเน้นๆ ถึงแนวคิดที่กล้าได้กล้าเสีย วิธีคิดที่แหกกฎไม่เหมือนใคร และไม่ยอมให้อะไรมาขวางยามที่เขาต้องการอะไรสักอย่างแบบจริงๆ จังๆ

ดังนั้น The Aviator จึงอาจไม่ใช่หนังที่ลงลึกแบบลึกซึ้งครับ แต่กระนั้นก็พูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าหนังสามารถบอกเล่าเรื่องราวของฮิวจ์ส และสื่อตัวตนของฮิวจ์สมาให้เราได้สัมผัสได้ดีพอสมควร เรียกว่าดูแล้วพอจะรู้นิสัยใจคอของตัวละครนี้ – คือตัวจริงของฮิวจ์สจะเป็นตามนี้ทั้งหมดไหมก็เรื่องหนึ่งครับ แต่อย่างน้อยเราก็รู้จักฮิวจ์สที่เราเห็นในหนัง พอจะเข้าใจมุมมองหลากมิติของเขา และอดไม่ได้ที่จะเห็นใจยามที่อาการของโรคส่งผลต่อการดำเนินชีวิต

พลังสำคัญของหนังนอกจากลีลาการเล่าเรื่องฉบับ Scorsese แล้ว เหล่าดาราทั้งหลายก็ล้วนน่าจดจำครับ และแต่ละคนก็ทุ่มเทกับการแสดงอย่าง DiCaprio ก็ไปใช้เวลาอยู่กับผู้ป่วย OCD จริงๆ รวมถึงไปใช้เวลาอยู่สัมภาษณ์คนที่เคยใช้ชีวิตอยู่กับฮวจ์ส ส่วน Blanchett นั้นก็ต้องไปเรียนเทนนิสและหัดเล่นกอล์ฟ รวมถึงอาบน้ำเย็นแบบเดียวกับที่แคทเธอรีน แฮปเบิร์นตัวจริงทำเป็นกิจวัตร และ Scorsese ยังให้การบ้านพิเศษคือขอให้ Blanchett ดูผลงานการแสดง 15 เรื่องแรกของแฮปเบิร์นเพื่อศึกษากิริยาท่าทางของดาราในตำนานผู้นี้ให้ลึกที่สุด

และความทุ่มเทของ Blanchett ก็ไม่เสียเปล่าครับ เธอสวมวิญญาณเป็นแฮปเบิร์นได้อย่างยอดเยี่ยมจนได้รางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมไปครอง และนั่นยังทำให้เธอได้รับการบักทึกว่าเป็นนักแสดงคนแรกที่ได้รางวัลออสการ์จากการรับบทเป็นนักแสดงที่ได้ออสการ์ (Katharine Hepburn เคยคว้าออสการ์ไป 4 ครั้งครับ)

Untitled06778

ส่วน DiCaprio เองแม้จะไม่ได้ออสการ์แต่ก็ได้เข้าชิงครับ และถ้าว่ากันถึงการแสดงแล้วก็ต้องยอมรับว่าเขาเล่นเป็นฮิวจ์สได้อย่างน่าจดจำ โดยเฉพาะฉากท้ายๆ เมื่ออาการ OCD รุนแรงขึ้นตามลำดับ เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ครับ ดูเขาโทรมและน่าเป็นห่วงจริงๆ

แต่รายที่ผมเป็นห่วงที่สุดในการทำหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เหล่าดาราครับ แต่ห่วงผู้กำกับ Scorsese นี่แหละ เพราะได้ข่าวว่าเขาใช้พลังไปในการทำหนังเรื่องนี้อย่างมหาศาลและเครียดแบบสุดๆ เพราะต้องคอยรับมือกับการบงการของสตูดิโอเป็นประจำ – วงในว่ากันว่าบางครั้งถึงขั้นใช้คำว่า “เปิดศึกกับสตูดิโอ” เลยทีเดียว – และ Scorsese ยังยอมควักเงินตัวเองกว่า $500,000 มาช่วยโปะเพราะโดนสตูดิโอสั่งตัดงบอีกด้วย

หลังทำเรื่องนี้เสร็จ Scorsese ถึงขั้นออกมาบอกว่าจะเลิกทำหนังน่ะครับ – เครียดเบอร์ไหนลองจินตนาการกันดู

และสุดท้ายหนังก็ถือว่าอยู่ในข่ายพอจะเท่าทุนครับ จากเงินลงทุนราว $110 ล้าน หนังสามารถทำเงินคืนมาได้จากทั่วโลกราวๆ $213 ล้าน คาดว่าตอนนี้น่าจะโปะทุนและพอได้กำไรบ้างแล้ว (จากการขายลิขสิทธิ์ต่างๆ) และหนังยังได้รับการบันทึกว่าเป็นหนังเรื่องแรกที่ Scorsese กำกับแล้วทำเงินในอเมริกาเกิน $100 ล้าน (หนังปิดโปรแกรมที่อเมริกาไปด้วยตัวเลข $102 ล้านครับ)

หนังได้ชิงออสการ์ถึง 11 สาขา (รวมถึงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยม) ก่อนจะคว้ามาได้ 5 รางวัล ได้แก่นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม, กำกับภาพยอดเยี่ยม, ลำดับภาพยอดเยี่ยม, กำกับศิลป์ยอดเยี่ยม และเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยมครับ

สำหรับผมแล้ว ถ้าถามว่าชอบหนังไหม ก็ตอบได้ว่าอาจไม่ถึงกับชอบมากครับ คือยอมรับแหละว่าเป็นหนังคุณภาพที่งานสร้างถือว่ายิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะฉาก เครื่องแต่งกาย และฝีมือนักแสดงก็น่าจดจำ แต่หากเทียบกับงานตัวท็อปของ Scorsese อย่าง Goodfellas หรือ Casino ที่มีลีลาการเดินเรื่องคล้ายกันแล้ว ผมก็ชอบ 2 เรื่องนั้นมากกว่าครับ ส่วนสำคัญเลยน่าจะเป็นที่ตัวบทที่มีความเข้มข้นกว่า และเนื้อเรื่องชวนติดตามกว่า – และของดีอีกอย่างในหนังผมยกให้ดนตรีฝีมือของ Howard Shore ครับ บรรเลงออกมาได้บรรยากาศยุค 1920 – 1940 จริงๆ

ส่วนเรื่องนี้ น่าดูหรือไม่ก็ต้องแล้วแต่ความชอบครับ ใครชอบดารา ชอบงานของ Scorsese หรือชอบหนังดราม่าย้อนยุคสายคุณภาพผมว่ายังไงเรื่องนี้ก็ควรได้ลองลิ้มสักครั้งครา จะได้รู้ว่าเราจะชอบหรือไม่อย่างไร

สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

Star22

(7.5/10)

Untitled06779