
Blue Jasmine ถือเป็นหนังดราม่าเรียบง่ายแต่แซ่บสมองตามสไตล์ Woody Allen ที่เขียนบทและกำกับเองเช่นเคย
Blue Jasmine ถือเป็นหนังดราม่าเรียบง่ายแต่แซ่บสมองตามสไตล์ Woody Allen ที่เขียนบทและกำกับเองเช่นเคย
สิ่งที่จับใจผมอย่างมากในหนังเรื่องนี้ก็คือโลเกชั่นสวยๆ งามๆ ของฮาวาย (ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับที่ทำให้ผมชอบดู Hawaii Five-O)
ในขณะที่โลกภาพยนตร์พยายามจะหาอะไรใหม่ๆ ใส่ลงไปในหนังเพื่อดึงดูดความสนใจคนดู ทางด้านโลกการ์ตูนเองก็พยายามไม่แพ้กันครับที่จะหาพล็อตใหม่ๆ ใส่ลงไป ส่วนหนึ่งก็ทำให้เกิดเป็นการ์ตูนที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดีขึ้นมา
อีกหนึ่งหนังคุณภาพและการแสดงดีๆ ของ Will Smith ครับ แม้จะไม่ถึงขั้นที่ The Pursuit of Happyness และ Seven Pounds เคยทำไว้ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าแก่การรับชมครับ
เรื่องนี้เป็นอะไรที่เสียดายมาก เพราะจริงๆ มันน่าสนใจนะครับ พล็อตมันอาจไม่ได้ใหม่แต่รายละเอียดและองค์ประกอบบางอย่างมันน่าสนใจดี จนผมต้องลงเอยด้วยประโยคเดิมๆ อย่าง “ถ้าทำออกมาดีๆ และเล่าด้วยจังหวะที่เหมาะล่ะก็ มันจะเจ๋งมาก”
เชื่อว่าหลายคนอาจรู้สึกผิดที่ผิดทางกับผลงานชิ้นนี้ของลุง Woody Allen โดยเฉพาะคนที่ “ฟิน” กับหนังเรื่องก่อนหน้าของลุงเขาอย่าง Midnight in Paris ที่ทุกอย่างลงตัว กลมกล่อม ลื่นคอ ดูแล้วรักหนัง รักตัวละคร และรักปารีสขึ้นมาติดหมัด
ผมจำชื่อคุณพี่ Tim Burton ได้แบบจั๋งๆ ก็ด้วยหนังเรื่องนี้นี่แหละ!
แอนนี่ (Demi Moore) ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในคณะลูกขุน มีหน้าที่พิจารณาคดีใหญ่ที่มีเจ้าพ่อตัวเอ้เป็นจำเลย ซึ่งก็แน่นอนล่ะครับว่าเจ้าพ่อรายนี้ไม่อยากเข้าคุก เลยมีการติดต่อชายลึกลับฉายา ทีชเชอร์ (Alec Baldwin) ผู้มีหน้าที่วางแผนและข่มขู่ให้หนึ่งในลูกขุนยอมชักจูงลูกขุนรายอื่นๆ ให้พลิกคดี ทั้งที่หลักฐานมีพร้อมว่าเจ้าพ่อผิด แต่ถ้าลูกขุนพากันเทคะแนนว่าเขาไม่ผิด เจ้าพ่อก็จะลอยนวลทันที
เป็นหนึ่งในหนังเก่าที่ยังอยู่ในความทรงจำผมนะครับ เพราะสมัยก่อนตอนดูก็เพราะมีดาราเซ็กซี่แห่งยุคนั้นอย่าง Kim Basinger มาประกบกับ Alec Baldwin ที่หล่อเท่ห์แถวหน้าอยู่เหมือนกันครับนายคนเนี้ย แล้วทั้งคู่ก็ถึงขั้นตกหลุมรักกันจริงๆ และแต่งงานอยู่กินกันนอกจอเลยล่ะครับ
นับเป็นหนังรวมดาราที่น่าสนใจครับตอนที่มันออกฉายน่ะ แต่พอดูไปดูมาก็ไม่ได้มีอะไรยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ