Crime (Series)

Sherlock Season 4 (2017) อัจฉริยะยอดนักสืบ ปี 4

Untitled06672

หากนี่จะต้องเป็นปีสุดท้ายของซีรี่ส์ Sherlock ล่ะก็ ผมถือว่าโอเคเลยครับ มันสรุปจบเรื่องราวได้อย่างพอเหมาะ จบแบบทิ้งความประทับใจไว้ เป็นการจบที่สวยงามดี (ในความคิดผมน่ะนะครับ)

ถ้าให้เปรียบแล้ว อารมณ์มันเหมือนตอนดู The Dark Knight Rises จบน่ะครับ มันพอเหมาะพอดี จบแบบจะมีภาคต่อก็ได้ หรือจะจบลงตรงนี้ก็ได้ ไม่ว่าจะมีต่อหรือไม่ก็รู้สึกดีเหมือนกัน

ลึกๆ ผมก็อยากให้มีปีต่อไปครับ แต่พูดตรงๆ เลยว่าสงสารทีมงานมาก โดยเฉพาะพี่ Mark Gatiss และ Steven Moffat ที่ช่วยกันครีเอทซีรี่ส์ชุดนี้ด้วยความเหนื่อยยาก ซึ่งปัญหาสำคัญคือพวกเขาทำปีก่อนๆ ไว้ดีมากๆ จน Sherlock กลายเป็นซีรี่ส์ตัวท็อปในรอบหลายสิบปี ซึ่งก็แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำปีต่อๆ มาให้ดีขนาดนั้นได้

อย่างตอนแรกสุดของปีนี้หลายคนก็ไม่โอ แต่ถ้ามองจริงๆ แล้วคุณภาพของมันถือว่าเหนืออกว่าซีรี่ส์ส่วนใหญ่ที่ฉายตอนนี้ซะอีก แต่พอเรามองโดยเอาตอนก่อนๆ ที่เด็ดกว่ามาเปรียบ มันก็เลยดูด้อยค่าลงไป… ผมเห็นใจทีมงานมากสุดก็ตอน Gatiss ออกมาขออภัยต่อผู้ชมที่รู้สึกผิดหวังกับตอนที่ 1 ของปี 4 นั่นล่ะครับ สงสารจับใจเลยให้ตายเถอะ

ดังนั้นผมเห็นด้วยนะหากจะจบ Sherlock ไว้ที่ปีนี้ เพราะพวกเขาสร้างซีรี่ส์โคตรดีไว้ประดับวงการแล้ว พวกเขาได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว สำหรับแฟนซีรี่ส์ชุดนี้อย่างผม ผมโคตรจะฟินแล้วกับ 4 ซีซั่นที่ผ่านมา และผมขอบคุณทีมงานทุกคนจากใจเลยครับ ที่สร้างซีรี่ส์ระดับนี้ออกมาได้ (ไม่รู้อีกกี่ปีถึงจะมีคนสร้างสรรค์เรื่องของเชอร์ล็อค โฮล์มส์ให้ออกมาสุดยอดขนาดนี้ได้อีก)

ครับ สำหรับผม ผมชอบปีนี้ มันยังสนุก ครบรส เพลิดเพลิน เปี่ยมอารมณ์ขันและความเมามันส์แบบอังกฤษ คือมันจะไม่โฉ่งฉ่างตุ้งแช่ แต่จะเร้าใจลึกๆ ถ้าจะให้นิยามก็คงประมาณว่า “ดูไปตื่นเต้นไป ความเร้าใจพลุ่งพล่านอยู่ภายใน มือที่เราถือถ้วยชาไว้อาจจะสั่น แต่ชาในถ้วยนั้นจะไม่กระฉอก”

Untitled06673

และอันที่จริงต้องบอกว่าปีนี้ทีมงานกล้าเล่นใหญ่กว่าปีก่อน กล้าเสี่ยงเอาหลายๆ อย่างใส่ลงไป เช่น บทสรุปของบางตัวละคร, การหักมุม และความลับของโฮล์มส์ ซึ่งต้องเรียกว่ากล้าเล่นมากๆ ล่ะครับ เพราะหากเล่นไม่ถูกนี่มีสิทธิ์โดนโห่เอาได้ง่ายๆ เลยทีเดียว

อ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้ว ก็แน่นอนแล้วล่ะครับว่าผมชอบซีรี่ส์ปีนี้มาก แต่หากท่านอื่นดูแล้วเฉยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ มันแปลได้เพียงว่าปีนี้มันถูกเส้นกับผมพอดี ผมเลยชอบมาก แต่การที่มันไม่โดนใจทุกคนก็ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าหลายๆ ตอนในปีก่อนก็ทำออกมาได้สมบูรณ์กว่านี้จริงๆ

อย่างที่ผมเอ่ยเสมอครับว่าสิ่งที่ผมเขียนหรือกระทั่งดาวที่ผมให้มันไม่ใช่ประกาศิตอะไรเลย มันแค่บอกความคิดที่ผมมีต่อหนังสักเรื่องเท่านั้น และจริงๆ แล้วการที่คนเห็นต่างกัน มันคือสีสันที่จรรโลงโลกของเราให้สวยงามและสร้างเสริมให้เกิดสิ่งที่หลากหลายเสมอมา 😊

มาลงที่รายละเอียดกันต่อนะครับ อย่างตอนแรกของปีนี้ The Six Thatchers มันอาจไม่ใช่ตอนที่ดีที่สุดของซีรี่ส์นี้ครับ แต่มันเพลินนะ มันยังคงเป็น Sherlock ที่ดูสนุก ได้เห็นตัวละครคุ้นเคยมาทำนั่นทำนี่ ได้เห็นเชอร์ล็อกสืบคดี ได้เห็นหมอวัตสันทำท่าเอ๋อบ้างอะไรบ้าง

และที่สำคัญคือมันมี Easter Egg เยอะมาก บางอย่างดูเหมือนธรรมดา แต่จริงๆ แล้วไม่ธรรมดา คือดูแล้วมันตะหงิดตลอด ที่ว่าตะหงิดนี่ไม่ใช่ตะหงิดแบบไม่ดีนะครับ แต่ตะหงิดแบบเหมือนเวลาเราดูภาพอะไรสักภาพ แล้วตระหนักว่าของบางอย่างมันไม่ควรไปอยู่ตรงนั้นนะ

ซึ่งการที่มันไปอยู่ตรงนั้นถ้าไม่ใช่เพราะความผิดพลาด ก็อาจเป็นเพราะมีใครจงใจนำมันไปไว้เพื่อจะบอกอะไรกับเราบางอย่าง… มันได้อารมณ์แบบนั้นจริงๆ (ระหว่างดูนี่รู้สึกเหมือนมวล “องค์เชอร์ล็อค” มาประทับบ่อยมาก… หมื่นสัมผัสได้ครับ)

แล้วพอตอน 2 The Lying Detective ความมันส์ก็กลับมาแบบเต็มคราบครับ เป็นตอนที่สนุกและได้ใจมาก… จริงๆ เนื้อเรื่องมันอาจไม่ได้ซับซ้อนนะ แต่มันมีของน่าสนใจหลายอย่าง โดยเฉพาะการแสดงของแต่ละคนที่งัดกันออกมาแบบเต็มที่ เรียกว่าตัวคดีอาจไม่ได้เจ๋ง แต่สถานการณ์กับการเดินเรื่องมันมีพลังดี

คนที่อยากปรบมือให้ดังๆ เลยคือ Toby Jones ที่มาสวมบท คัลเวอร์ตัน สมิธได้อย่างสุดยอด คือดูแค่พี่แกคนเดียวก็สนุกแล้วน่ะครับ ลีลาเหนือชั้นและคาดเดาทางได้ยากดี ถือเป็นคู่ปรับที่เด็ดมากของโฮล์มส์เลยล่ะ แล้วก็แน่นอนว่าตอนที่ 2 นี้ก็ยังมีอะไรให้ตะหงิดอยู่เหมือนเดิม มันสัมผัสมวลอะไรแปลกๆ ได้ เพียงแต่ครั้งนี้เราจะเริ่มตระหนักแล้วครับว่า “เราไม่ได้คิดไปเอง”

Untitled06674

ส่วนตอนที่ 3 The Final Problem ดูจากแนวโน้มแล้ว เห็นหลายคนออกแนวเฉยกับตอนนี้ แต่สำหรับผม นี่คือตอนที่สุดยอดที่สุด องค์ประกอบทั้งหลายดูฉลาดมาก โอเคครับ มันอาจมีบางอย่างที่ขัดกับบางสิ่งในตอนอื่นนะ แต่ด้วยลีลาการเล่า ประเด็นที่เอามาเล่น หรือจังหวะต่างๆ มันเป็นอะไรที่เด็ดมากๆ

คือดูแล้วอยากจะกราบ Gatiss กับ Moffat เลยครับ เพราะพวกพี่เขาเล่นท่ายาก แล้วไม่ใช่ยากธรรมดานะ ผมว่ามันคือท่ายากระดับตำนานเลย และนั่นคือเหตุผลที่ผมเอาภาพนี้มาลงประกอบครับ มันคือการปัดกระดานหมากรุกทิ้งทั้งกระดาน มันนอกกฎ มันหลุดกรอบ มันไร้เกณฑ์ มันสดและใหม่มากๆ จนผมคิดว่าผมไม่น่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้ในซีรี่ส์ทางทีวีอีกแล้ว

สำหรับมันเป็นตอนที่ Blow My Mind น่ะครับ โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าถ้าใครชอบก็ชอบเลยนะ แต่ถ้าใครไม่ชอบก็จะรู้สึกไม่ถูกใจ ซึ่งก็อย่างที่บอกนั่นและครับ พวกพี่เขาเล่นท่ายาก และคงไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะชอบสารพัดท่ายากที่ตอนนี้เอามาเล่นกันแบบเต็มพิกัด (เดี๋ยวผมจะพูดถึงความชอบที่มีในตอนนี้อีกทีในโซนสปอยล์ครับ)

ปีนี้ดาราทุกคนเล่นกันได้ลื่นครบถ้วนครับ Benedict Cumberbatch มาพร้อมบทเชอร์ล็อคที่มีความลึกมากกว่าเดิม ส่วนหนึ่งเพราะเรื่องราวมันเจาะลึกลงไปในชีวิตเขาด้วยนั่นแหละ ส่วน Martin Freeman ก็ได้แสดงอารมณ์มากขึ้นเช่นกันครับ มีอารมณ์ซับซ้อนหลายระดับอยู่ เช่นเดียวกับ Amanda Abbington ที่ยังน่าจดจำเช่นเดิมในบทแมรี่

Gatiss นอกจากเขียนบทแล้วก็เล่นเป็น ไมครอฟท์ ปีนี้ก็ได้เล่นอะไรเยอะขึ้นเช่นกัน ยอมรับเลยครับว่าปีนี้บทมันเปิดโอกาสให้ 3 ตัวนำนี่ได้แสดงตัวตนออกมาในหลายแง่มุม ส่วน Una Stubbs ก็ยังรับบทคุณนายฮัดสันได้น่ารักเช่นเดิม (ที่เพิ่มคือความเซี้ยว 5555) ในขณะที่ Rupert Graves ในบทเลสเตรด ก็ดูจะมีบทน้อยลง เช่นเดียวกับ Louise Brealey ในบทมอลลี ที่บทก็ไม่เยอะ (แต่ที่ว่าไม่เยอะเนี่ย… มันก็ไม่น้อยนะครับ อันนี้ต้องลองไปดูกัน)

และดาราที่มารับบท Big Boss ประจำปี ก็ต้องยกให้เป็นการแสดงระดับสุดยอดล่ะครับ คือเล่นได้เด็ดมากและทรงพลังมากมายจริงๆ หลายฉากนี่ดูน่ากลัวเลยนะ และเป็นคนที่คาดเดาอะไรได้ยากจริงๆ (แต่ผมไม่บอกชื่อล่ะนะครับ 555)

สรุปว่าปีนี้ผมชอบครับ ชอบมากมายเลย ผมคงจะไม่เปรียบเทียบล่ะนะครับว่าปีไหนดีกว่ากัน เพราะกับ Sherlock นี่ผมมองทั้ง 4 ปีเป็นเนื้อเดียวกันหมด ผมมองเป็นซีรี่ส์ชุดเดียวกันที่ทำออกมาได้ทรงพลัง สนุก ครบรส และประทับใจสุดๆ ซึ่งผมคงมีความสุขเป็นล้นพ้นล่ะครับ ตอนเอามาเปิดดูเรียงกันทุกตอนอีกครั้ง

สี่ดาวครับ

Star41

(9/10)

+++++++++++++++
+++ สปอยล์ครับ +++
+++++++++++++++

พูดก็พูดเลยครับ ผมคลั่งตอน The Final Problem มาก โอเคมันอาจเป็นตอนที่ดูแฟนตาซีนะ หลายอย่างดูอ่อนเหตุผล และหลายคนอาจมองว่าพี่เชอร์ล็อคดูไม่ฉลาดเท่าไรในบางจังหวะ แต่ผมมองว่าปกติแล้วเชอร์ล็อคเป็นคนอ่านเกมขาด แกรู้หมดเห็นหมดในโลกใบนี้ แต่กับกรณีนี้มันเป็นอะไรที่ “อยู่นอกเหนือจากโลกที่เชอร์ล็อคเคยรู้จัก”

การผจญภัยในตอน The Final Problem มันเหมือนพี่เชอร์ล็อคแกบุกแดนปริศนา ผจญใต้มหาสมุทร หรือเดินทางไปยังดาวที่ยังไม่เคยสำรวจน่ะครับ มันคือดินแดนใหม่ที่พี่แกต้องค้นพบด้วยตนเอง และที่ย้อนแย้งคือ คนที่เขาต้องเผชิญหาใช่คนแปลกหน้า แต่เป็นพี่น้องร่วมสายเลือด ซึ่งผมเชื่อนะที่บทบอกว่าเชอร์ล็อคลืมคนๆ นี้ไป เพราะจริงๆ ตั้งแต่ต้น “บุคลิกลักษณะของเชอร์ล็อคในแบบของพี่ Benedict” แกดูจิตๆ นิดๆ อยู่แล้ว มันเลยรับได้ไม่ยากว่าแกมีปมในใจซ่อนอยู่แหงๆ เพียงแต่ก่อนหน้านี้เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าปมที่ว่ามันคืออะไร

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า Gatiss กับ Moffat แกเพิ่งคิดมุกนี้ได้ หรือแกวางหมากมานานแล้วกันแน่ (เพราะ Moffat แกเคยวางหมากเตรียมไว้แบบข้ามทีละ 2 – 3 ซีซั่นมาแล้วใน Doctor Who)

จุดที่ผมชอบมากคือฉากที่เกิดเหตุในตอนนี้มันให้อารมณ์เหมือนหนังคลาสสิกเก่าๆ ที่พระเอกต้องไปหาทางออกจากค่ายกลหรือปราสาทปริศนา มันดูลึกลับและขลังดีครับ (ชอบสกรีนเซฟเวอร์บนทีวีที่เป็นรูปสายฝนมาก มันเสริมความขลังและอารมณ์กดดันได้อีกเพียบเลย)

การสู้กับ “ยูรัส โฮล์มส์” มันอาจไม่ได้แปลกใหม่นะครับ แต่มันสนุก แน่นอนว่าการแสดงของ Sian Brooke เธอเหนือชั้นมาก เหมือนเป็นการผสมกันระหว่างลูกสาวของแดร็กคูล่ากับฮันนิบาล เลคเตอร์ หลายซีนเจ๊แกดูน่าขนลุกดีครับ และดูแล้วเชื่อน่ะว่าเธอสามารถทำอย่างที่เราเห็นได้ ดูเป็นบอสในเงามืด ดูเป็นปีศาจในกล่องแพนโดร่าที่น่าสะพรึง

และที่ชอบอีกอย่างคือ “เด็กหญิงบนเครื่องบิน” เป็นการหักมุมที่เจ๋งมาก คืออันอื่นพอจะเดาออกนะ แต่อันนี้มันเป็นอะไรที่เจ๋งดี แล้วมันสื่อถึงสถานะของยูรัสได้แบบชัดเจน

“เด็กผู้หญิง อยู่คนเดียว ผู้ใหญ่รอบตัวหลับกันหมด เธอต้องการความช่วยเหลือ เครื่องกำลังจะตก”

คือมันสะท้อนจิตใจของเด็กที่ไม่ได้รับการเหลียวแลได้อย่างดีน่ะครับ เด็กมากมายก็เจอแบบนี้ “สับสน ไร้เข็มทิศ ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครสอนสั่ง ไม่มีใครอาทรจนไม่รู้จักคำว่ารักหรือห่วงใย”

ผู้ใหญ่ในวันนี้หลายคนก็เหมือน “เด็กหญิงบนเครื่องบิน” พยายามตะโกนสุดเสียง แต่ก็ไร้ความหมาย แล้วเครื่องก็ตก…

ไม่รู้ท่านอื่นคิดอย่างไร แต่ผมมองว่า “เด็กหญิงบนเครื่องบิน” เป็นเหยื่อที่มีคนๆ เดียวในโลกที่จะช่วยเธอได้… มีแค่ “เชอร์ล็อค” เท่านั้นที่จะช่วยได้… คนอื่นคงช่วยไม่ได้ แม้แต่หมอวัตสันก็ตาม

The Final Problem จึงเป็นเชอร์ล็อคตอนที่ถือว่า “ไปไกลที่สุด” ไกลจนหลายคนมองว่ามันออกทะเลจนกู่ไม่กลับ แต่กลับสำหรับผม มันพาเรื่องราวของเชอร์ล็อคให้ไปไกลและลึกกว่าที่จะมีหนังหรือซีรี่ส์ที่ดัดแปลงจากนิยาย Sherlock Holmes เรื่องไหนเคยทำได้มาก่อน

ในขณะที่ Easter Egg ก็ยังอุดมเหมือนเคยครับ ที่ผมชอบมากๆ คือ วิคเตอร์ เทรเวอร์ ที่แฟนนิยายคงจำได้ว่าชื่อนี้คือชื่อของเพื่อนคนแรกและคนเดียวของโฮล์มส์ก่อนการมาของหมอวัตสัน (ถูกกล่าวถึงในตอนเรือบรรทุกนักโทษ – The Gloria Scott ตอนนี้รวมอยู่ในชุดจดหมายเหตุ) ส่วนในซีรี่ส์ก็มีการดัดแปลงเนื้อหาไป แต่โดยใจความแล้ววิคเตอร์ก็ยังเป็นเพื่อนคนสนิทคนเดียวของโฮล์มส์เช่นเดิม

หรือชื่อคฤหาสน์มัสเกรฟส์ ก็มาจากตอนปริศนาลายแทง (The Musgrave Ritual รวมอยู่ในเล่มจดหมายเหตุเช่นกัน) และที่ลืมไม่ได้คือตอนจบที่เชอร์ล็อคและหมอวัตสันวิ่งออกมาจาก Rathbone Place ซึ่งก็เป็นการคารวะ Basil Rathbone ผู้สวมบทโฮล์มส์เมื่อยุค 1940 (เขาเป็นโฮล์มส์คนโปรดของผมเลยครับ) ซึ่งกิมมิคเล็กๆ เหล่านี้มันเป็นอะไรที่เจ๋งดีครับ และซีรี่ส์ Sherlock ก็มีอะไรแบบนี้อยู่ตลอดด้วย

สรุปนะครับ ผมโคตรชอบตอน The Final Problem เลย ผมจะไม่ใช้คำว่ามันเป็นตอนที่ดีที่สุดนะครับ แต่ยกให้เป็นตอนในดวงใจ ที่ผมชอบพอๆ กับตอน The Reichenbach Fall เลย