
ดีใจเสมอครับที่ได้ดูหนังแนวนี้ – หนังแนวดราม่าย้อนยุคไปวันวาน บอกเล่าถึงช่วงหนึ่งของชีวิตคน ได้รับรู้ความสุขความทุกข์ในชีวิตของพวกเขา พร้อมทั้งประสบการณ์อันจะกลายมาเป็นความทรงจำ นี่ล่ะครับถือเป็นแนวหนึ่งที่ผมโปรดปรานอย่างยิ่ง
ดูหนังแนวนี้ทีไร พอตอนจบผมก็จะนั่งนิ่งๆ ทุกทีไปครับ – นั่งนิ่งๆ พลางระลึกถึงเรื่องราวที่เราเพิ่งได้สัมผัส เหมือนเรานั่งรถไปเที่ยวยังสถานที่สักแห่งหนึ่ง พอเที่ยวเสร็จตอนนั่งรถกลับบ้าน มันก็จะมีบางห้วงอารมณ์ที่เราจะนึกถึงหลากรสหลายชาติที่เราได้รับตอนที่เราเที่ย เหมือนนั่งรถแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง มองเส้นทางที่เราเพิ่งจากมา พร้อมรอยยิ้มและรอยอาลัย
Summer Days, Summer Nights บอกเล่าเรื่องราวในช่วงฤดูร้อนปี 1982 ของคนกลุ่มหนึ่งในลองไอส์แลนด์ครับ เริ่มจาก เจเจ (Pico Alexander) หนุ่มที่กำลังจะไปเรียนมหาวิทยาลัยแต่ดันโดนแฟนบอกเลิกแบบไม่ทันตั้งตัว เขาเลยเป๋อยู่พักใหญ่ จนกระทั่งได้ผูกสัมพันธ์กับเด็บบี้ (Lindsey Morgan) เพื่อนร่วมงานที่ทำท่าสนใจเขาตั้งแต่วันแรกๆ ที่เจอ
ส่วนเทอร์รี่ (Amadeus Serafini) ลูกพี่ลูกน้องของเจเจก็แวะมาพักผ่อนในช่วงซัมเมอร์ แล้วเขาก็ได้เจอกับวิงกี้ (Rita Volk) สาวน้อยที่กำลังว้าวุ่นใจเนื่องจากแฟนหนุ่มของเธอไปอยู่ต่างเมืองตลอดช่วงซัมเมอร์ โดยไม่โทรหาเธอหรือไม่แม้กระทั่งเขียนโปสการ์ดมาสักฉบับ และเทอร์รี่ก็เริ่มสนใจวิงกี้มากขึ้นทีละน้อยๆ แม้จะรู้ว่าเธอมีแฟนอยู่แล้วก็เถอะ
ไหนจะเรื่องของซูซี่ (Caitlin Stasey) ที่กลับมาบ้านหลังจากหนีหายไปนาน แล้วการกลับมาครั้งนี้ก็ทำให้เธอต้องเจอกับแฟรงกี้ (Anthony Ramos) รักเก่าเมื่อครั้งเรียนไฮสคูล ที่เธอเคยหันหลังให้เขามาก่อน – แล้วการเจอกันในหนนี้มันจะมีบทลงเอยเช่นไร?

ใช่ครับ ผมชอบหนังที่มีเนื้อหาแบบนี้ การได้รับรู้เรื่องราวช่วงหนึ่งของใครสักคนนั้นถือเป็นอะไรที่มีความหมายนะครับ ไม่ว่าจะเรื่องจริงหรือเรื่องที่ถูกแต่งขึ้นก็ตาม มันเหมือนเป็นการเปิดโลกให้เราได้รู้ถึงวิถีชีวิตแบบอื่นๆ ที่เราอาจไม่มีโอกาสได้ประสบด้วยตนเอง และเรามักจะได้อะไรจากมันเสมอ อย่างน้อยที่สุดก็คือความเพลิดเพลิน และถ้ามากขึ้นมาหน่อยเราก็จะได้แง่คิดมาเสริมเพิ่มในชีวิตของเราด้วย
ในขณะที่ตัวหนังนั้นถือว่าออกมากลางๆ ครับ ในแง่ของตัวบทยังไม่กลมกล่อมแบบเต็มๆ รวมถึงการเดินเรื่องที่ยังไม่สมูธในหลายช่วง บางช่วงอาจเร็วไป (จนไม่ทันได้สัมผัสกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร) บางช่วงอาจช้าไป (จนทำให้รู้สึกเยิ่นเย้อ) หรืออย่างตอนจบนี่ถือว่าหนังแลนดิ้งเร็วมากจนอดอุทานไม่ได้ว่า “อ้าว นี่จบแล้วเหรอ?” – หรือถ้าจะมองในแง่ที่ว่าคนทำต้องการให้มันจบแบบนี้ ให้มันค้างๆ คาๆ ทางอารมณ์ อันนี้ก็พอเข้าใจอยู่ครับ
และสิ่งหนึ่งเลยที่รู้สึกคือหนังดูเหมือนจะเน้นไปที่เรื่องเซ็กซ์มากกว่าจะเป็นเรื่องชีวิตครับ คือจริงๆ ก็เข้าใจน่ะนะครับว่าความรัก (โดยเฉพาะในหนังวัยรุ่นอเมริกัน) มันย่อมมีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวเป็นของธรรมดา อันนี้เข้าใจได้ แต่กลายเป็นว่าประเด็นอื่นๆ เกี่ยวกับชีวิตจะไม่ค่อยมีพื้นที่บนจอสักเท่าไร ไม่ว่าจะเรื่องการโตขึ้นของตัวละคร การคิดถึงอนาคต การทบทวนเรื่องอดีต หรือการใคร่ครวญเกี่ยวกับทางเลือก อะไรเหล่านี้จริงๆ มีความน่าสนใจ แต่หนังเหมือนจะไม่ค่อยพูดถึงสักเท่าไรครับ ส่วนใหญ่จะเน้นการจู๋จี๋ของตัวละครเป็นหลัก จนแอบเสียดายเหมือนกันเพราะประเด็นที่ว่าไปนี่สามารถเติมเต็มความลึกและความน่าสนใจให้กับหนังได้เยอะทีเดียว
อีกอย่างคือการที่หนังไม่ได้ลงลึกในเรื่องบทและตัวละคร เลยทำให้เราเข้าไม่ถึงตัวละครมากนักครับ และทำให้เข้าไม่ถึงการตัดสินใจบางอย่างในตอนท้ายเรื่องของพวกเขา ก็เป็นอะไรที่น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน
ครับ บทอาจยังไม่ลงตัว การเดินเรื่องอาจยังไม่มีพลังมากนัก แต่หนังเรื่องนี้ก็ยังมีของดีคือเหล่านักแสดงครับ แต่ละคนสวมวิญญาณเป็นตัวละครนั้นๆ ได้อย่างพอเหมาะ เราจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์และความรู้สึกของพวกเขาอยู่ตลอด ว่าช่วงไหนที่พวกเขาดีใจ เสียใจ หงอยเหงาเซื่องซึม หรือแฮ้ปปี้จนแทบบินได้ ดังนั้นแม้บทจะยังดีได้อีก หรือการเดินเรื่องจะยังไม่เด็ดมากก็ตาม แต่ก็เพราะการแสดงของพวกเขานี่แหละครับที่ยังทำให้ผมอยากดู อยากรู้ว่าชีวิตพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป
ยอมรับว่าระหว่างดูนี่ผมรู้สึกว่า Stasey ที่แสดงเป็นซูซี่นั้นคุ้นหน้ามากๆ ตอนแรกก็นึกไม่ออกว่าไปคุ้นหน้ามาจากไหน จนสักพักก็จำได้ว่าเธอคือหญิงสาวบนโปสเตอร์หนัง Smile ที่เห็นโคตรบ่อยนั่นเอง มิหน้าล่ะถึงรู้สึกคุ้นโคตรๆ อีกคนก็ Ramos ที่ตอนนั้นหน้ายังละอ่อนอยู่ (หนังเรื่องนี้ปี 2018 ครับ) ใครจะรู้ว่าอีกไม่กี่ปีต่อมาเขาจะได้แสดงนำในหนังอย่าง In the Heights และ Transformers: Rise of the Beasts

หนังกำกับและเขียนบทโดย Edward Burns ครับ ซึ่งเขาก็โดดมาเล่นด้วยในบทพ่อของเจเจ ซึ่งระหว่างดูนี่ผมก็คิดรำลึกไปถึงวันวาน รำลึกถึงช่วงเวลาที่ผมได้ดูผลงานกำกับเรื่องแรกของเขาอย่าง The Brothers McMullen ซึ่งถือเป็นผลงานที่แจ้งเกิดเลยครับ (ได้รางวัลหนังยอดเยี่ยมที่เทศกาล Sundance ปี 1995 ด้วยครับ) พอลองนับนิ้วดูก็พบว่าผมรู้จักเขามาเกือบ 30 ปีแล้ว ก็นานโขอยู่นะครับ มาวันนี้ก็มีโอกาสได้ดูผลงานของเขาอีกครั้ง ซึ่งแม้มันจะไม่ลงตัวมากเท่างานชิ้นแรกของเขา แต่ก็ถือว่าเป็นหนังที่ดูได้แบบเรื่อยๆ อีกเรื่องหนึ่ง
ถึงผมจะไม่ได้ชอบหนังเรื่องนี้มากมายนัก แต่ก็อยากคาบมาบอกให้คนที่ชอบหนังแนวนี้ได้ลองหาดูกันครับ มันก็ดูได้เรื่อยๆ นั่นแหละ และไม่รู้ว่ามีใครเป็นอย่างผมหรือเปล่าน่ะนะครับ แต่ยามดูหนังแบบนี้ ยามที่เราได้รับรู้เสี้ยวหนึ่งของชีวิตตัวละครในหนัง เราจะอดไม่ได้ที่จะรู้สึกราวกับว่าพวกเขามีตัวตน พลางคิดไปว่าชีวิตพวกเขาต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไรนะ – คนที่จากกัน สุดท้ายจะได้เจอกันอีกไหม? คนที่ลงเอยด้วยการอยู่ด้วยกัน พวกเขาจะอยู่ด้วยกันไปนานเพียงไร? หรือคนที่เลือกเส้นทางเดินใหม่ ชีวิตจะต้องเจออะไรต่อ?
ดังนั้นการดูหนังแนวนี้ สำหรับผมแล้วเหมือนเราได้เจอเพื่อนเพิ่มน่ะครับ พอรู้จักตัวละครแล้วก็อดเป็นห่วงเป็นใยไม่ได้ – หนังแนวนี้เลยมักจะให้อะไรมากกว่าความเพลิดเพลินครับ มันทำให้เราเกิด Feeling บางอย่างตามมา และยามมี Feeling ที่ว่า มันมักจะทำให้รู้สึกดีครับ
สรุปว่าใครชอบหนังแนวนี้ก็ลองดูได้ครับ อย่างน้อยดาราแต่ละรายก็แสดงได้น่าจดจำ โดยเฉพาะฉากที่ตัวละครหนุ่มสาวนอนหงายหน้าดูท้องฟ้าพลางอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันน่ะครับ ฉากแบบที่ว่านี่ทั้งคู่จะไม่ได้มองหน้ากัน แต่คนดูอย่างเราๆ จะเห็นหน้าพวกเขาทั้งคู่ และสีหน้าแววตาของพวกเขามันสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่านาทีนั้นพวกเขารู้สึกอย่างไร – ถ้าถามว่าทำไมฉากเหล่านี้ถึงมีความหมายสำหรับผม ก็ตอบได้ว่า เพราะพวกเขาไม่ได้มองหน้ากันครับ ต่างฝ่ายต่างจะไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าแบบไหน แต่ละคนจะแสดงสีหน้าตามความรู้สึกที่แท้จริงโดยไม่ต้องพะวงถึงอีกฝ่าย และความพีคมันอยู่ตรงที่ หากคู่ไหนทำหน้าเหมือนว่า “โลกนี้มีแค่สองเรา” เหมือนกันทั้งคู่ มันจะดูงดงามและน่ารักอย่างยิ่ง แล้วก็อย่างที่บอกครับว่าดาราเล่นดี ฉากเหล่านี้เลยยิ่งน่ารักและถึงอารมณ์ไปกันใหญ่
มันก็ไม่เลวนะครับที่เราจะลืมเรื่องราวของเราไปสักชั่วขณะ แล้วหันไปโฟกัสเรื่องราวของคนอื่นๆ บ้าง – บางทีมันอาจทำให้เราเห็นบางแง่มุมของตัวเองชัดขึ้นก็ได้
สองดาวหน่อยๆ ครับ

(6.5/10)
หมวดหมู่:Drama, Movie Reviews










