ตลอดการดูหนังเรื่องนี้ ในหัวผมจะมีคำๆ หนึ่งผุดขึ้นมาอยู่เป็นระยะๆ นั่นคือคำว่า “ผมเข้าใจนะ ผมเข้าใจ”
นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆ ครับ ผมว่าผมเข้าใจนะว่าทำไมทิศทางของหนังถึงมาแนวนี้ สิ่งที่หนังภาคนี้พยายามนำเสนอมีอยู่ 2 แก่นใหญ่ๆ แก่นแรกคือนำเสนอให้เรารู้ถึงชีวิตที่แสนโดดเดี่ยวของวันเดอร์ วูแมน หรือไดอาน่า พริ้นซ์ (Gal Gadot) ที่เธอต้องใช้ชีวิตอย่างเหงาๆ ไม่สามารถมีพันธะคบหาใครได้นาน เพราะถึงจุดหนึ่งเธอก็ต้องเปลี่ยนที่อยู่เพราะตัวเธอไม่แก่ลงเหมือนใครๆ (ไม่งั้นความลับจะเปิดเผยออกมา)
ผมชอบฉากในตอนต้นๆ ที่สื่อให้เราเห็นว่าไดอาน่าต้องอยู่เพียงลำพัง ไปไหนมาไหนคนเดียว กินข้าวคนเดียว นั่งจ้องเก้าอี้ว่างๆ ฝั่งตรงข้ามในร้านอาหาร ไม่ค่อยได้คุยกับใคร เวลามีอะไรที่อยากระบายก็ทำได้แค่พูดกับตัวเอง ไม่มีใครให้แบ่งปัน ส่วนคนที่เคยรู้จักเธอพอถึงจุดหนึ่งก็จะถูกพรากไปด้วยอายุขัย ล้มหายตายจากไปทีละคน
ทั้งหมดทั้งปวงนี้จึงทำให้ไดอาน่าคิดถึงสตีฟ เทรเวอร์ (Chris Pine) แบบสุดจิตสุดใจ ไม่ใช่แค่เพราะเขาเป็นชายที่เธอรัก แต่เขายังถือเป็นชายคนแรกที่เธอสามารถแบ่งปันเรื่องราวความคิด และได้พูดคุยสนทนานแบบที่ไม่ต้องปิดบังสิ่งที่เธอคิดและสิ่งที่เธอเป็น
นั่นจึงทำให้การกลับมาของสตีฟในภาคนี้ทำให้ไดอาน่ารู้สึกเหมือนชีวิตได้รับการเติมเต็มอีกครั้ง และมันย่อมเป็นเรื่องยากมหายากที่จะปล่อยให้เขาต้องจากไปอีกครั้ง
ครับ ผมเข้าใจ และผมชอบปมนี้นะ หนังเลือกได้ถูกต้องที่เอาปมนี้มานำเสนอ… ครับ ผมชอบปมนี้ แต่ในแง่การนำเสนอนั้น… เดี๋ยวเรามาว่ากันอีกที
อีกแก่นหนึ่งที่ถือว่าสานต่อจากภาคก่อนได้อย่างดีก็คือ “พลังของมนุษย์น่ากลัวกว่าพลังของเทพไท้องค์ไหนๆ” ในภาคก่อนตอนแรกนั้นไดอาน่าคิดว่าที่มนุษย์ทำสงครามกันใหญ่โตและกระทำต่อกันอย่างโหดเหี้ยมนั่นเป็นเพราะแอเรส เทพแห่งสงครามเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง และหากเธอสังหารแอเรสลงได้ทุกอย่างก็น่าจะจบ แต่เอาเข้าจริงแล้วแอเรสเป็นเหมือนคนชงเรื่องให้เกิด แต่คนที่ “รับลูก” สานต่อมหาสงครามให้ลุกลามใหญ่โต แท้จริงแล้วก็คือมนุษย์เดินดินนี่แหละครับ เพราะคนเรามีความเห็นแก่ตัว มีความโลภ มีความหยิ่งผยอง มีทิฐิ มีความเขลา มีความกลัว ฯลฯ อะไรเหล่านี้ได้ปรุงให้มหาสงครามลุกลามไปจนทั่วโลก
ว่าง่ายๆ คือโลกจะมีโฉมหน้าแบบไหนนั้น มนุษย์ส่วนใหญ่นั่นเองคือผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ มนุษย์มีอิทธิพลและช่วยกันทำให้ทิศทางของโลกเป็นไปตามนั้น
มาภาคนี้ก็เหมือนเดิม แม้จุดเริ่มต้นของเรื่องราวจะเป็นพลังแห่งเทพที่บันดาลให้มนุษย์ได้ในสิ่งที่ใจปรารถนา แต่เอาเข้าจริงคนที่ปรุงเรื่องให้หนักหนาสาหัสลุกลามไปทั่วโลกก็ด้วยน้ำมือของมนุษย์ ไม่ว่าจะแม็กซ์เวลล์ ลอร์ด (Pedro Pascal) ตัวต้นเรื่อง หรือคนอื่นๆ ในโลกที่อธิษฐานขอในเวลาต่อๆ มา อันนี้ก็ถือเป็นธีมหลักที่สานต่อมาจากภาคก่อนได้อย่างเหมาะสม และจะว่าไปแล้วหนังก็จัดการเอาแก่นแรก (ความโดดเดี่ยวของไดอาน่า) มาเจอกับแก่นนี้ (การที่ไดอาน่าขอพรให้สตีฟกลับมา-ไดอาน่าก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ขอพร) ได้อย่างน่าสนใจครับ เป็นสารตั้งต้นที่หากขยี้ดีๆ ก็จะทำให้เกิดความสนุกและความสะเทือนใจขึ้นมาได้
ครับ แก่นดี พล็อตถือว่าโอเค แต่ทว่า… ความสนุกที่มีในภาคนี้ กลับไม่มากอย่างที่มันควรจะเป็น
รู้สึกว่าหนังออกแนวเรื่อยๆ ครับ คือโดยส่วนตัวผมว่ามันไม่ได้ถึงกับแย่เพราะมันมีแก่นแกนที่โอเค ยกเว้นถ้าใครคาดหวังความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่แบบหนักๆ หรือฉากแอ็กชันแบบเยอะๆ ก็อาจจะผิดหวังมากหน่อย เพราะภาคนี้ไม่ได้เน้นความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่แบบภาคแรก และฉากแอ็กชันก็แทบนับฉากได้เลย นอกนั้นตัวหนังก็จะเดินเรื่องไปแบบเรื่อยๆ ซึ่งสำหรับผมแล้ว ผมไม่ถึงกับรู้สึกแย่อะไร เพราะแม้การเดินเรื่องมันจะเรื่อยๆ แต่ก็อย่างที่บอกน่ะครับว่าแก่นแกนมันมี มันเลยไม่ได้ไร้แก่นสารจนเกินไป เพียงแต่ความสนุกระหว่างทางมันไม่ใคร่จะมี เหมือนเดินเรื่องไปเรื่อยๆ แต่คนทำลืมเติมเครื่องปรุง ผลที่ได้มันเลยออกแนวจืด ไม่ค่อยจะมีจุดที่ดึงดูดให้เราเกิดความรู้สึกสนใจหรือใคร่ติดตาม ทั้งที่หากปรุงดีๆ ผมว่าภาคนี้อาจจะเข้มข้นและมีอะไรมากกว่าภาคแรกด้วยซ้ำไป
หนังยาวประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งความยาวไม่ได้ลดทอนความสนุกหรอกครับ (อย่าง The Dark Knight ก็ยาวสองชั่วโมงเกือบครึ่ง) ขอเพียงหนังมีแก่นเรื่องดีๆ และการเดินเรื่องที่ชวนติดตาม แค่นี้ 2 ชั่วโมงครึ่งก็จะผ่านไปด้วยความเพลิดเพลิน แต่สิ่งที่เกิดกับ WW84 ก็คือการเล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ แต่ละฉากผ่านไปแบบเรื่อยๆ ไม่มีสีสันหรือจุดพีค ไม่มีการทิ้งปมวางปมที่น่าสนใจพอ คือเราดูน่ะเราก็รู้ครับว่าในเรื่องมันเกิดอะไรขึ้น เรารู้ว่าไดอาน่ายังคงปกป้่องโลก เรารู้ว่าบาร์บาร่า (Kristen Wiig) คือนักวิทย์จิตใจดีที่ขี้เหงาและขาดความมั่นใจ ส่วนแม็กซ์เวลล์ ก็คือจอมกะล่อนที่สร้างชื่อเสียงและเงินทองจากคำลวงร้อยเล่ห์ ทีนี้ทั้งไดอาน่า, บาร์บาร่ากับแม็กซ์เวลล์ก็มีโอกาสได้อธิษฐานขอในสิ่งที่ตนต้องการ โดยเฉพาะรายหลังที่ยิ่งขอก็ยิ่งลุ่มหลงในอำนาจที่ตัวเองได้มา แล้วในที่สุดโลกทั้งใบก็ป่วนปั่นจนไดอาน่าต้องหาทางยับยั้ง
เนี่ยครับ ดูรู้เรื่องแหละ แต่การนำเสนอแต่ละฉากมันไม่ได้มีพลังมากพอ เหมือนเล่าไปเรื่อยๆ เล่าให้รู้เรื่องแต่มันไม่ก่อให้เกิดอารมณ์ร่วม ไม่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นหรือมันส์ไปกับเรื่องราว บางฉากก็ถูกนำเสนอแบบนิ่งราบจนเกินไป บางปมที่ดูน่าจะสนใจในตอนต้นก็ไม่ได้รับการสานต่อที่เหมาะควรเพียงพอ และส่วนใหญ่หนังก็เป็นแบบนั้นน่ะครับ เลยทำให้ผลรวมที่ได้หากว่ากันถึงรสชาติแล้ว หนังค่อนข้างจืดชืดกว่าที่คิดไว้
โดยเฉพาะปมระหว่างไดอาน่ากับสตีฟครับ จริงๆ สิ่งที่หนังควรทำคือ นำเสนอช่วงต้นเรื่อง (ตอนไดอาน่าอยู่คนเดียว) ให้ถึงเครื่องว่าไดอาน่าเหงาเบอร์ไหน แล้วพอสตีฟกลับมาชีวิตเธอเบ่งบานสดชื่นขึ้นมาขนาดไหน หนังควรทำให้ภาพมันตัดกันแบบชัดเจน คือจะทำตอนกลางเรื่องที่ไดอาน่ากับสตีฟอยู่ด้วยกันให้โทนกลายเป็นหนังโรแมนติกไปเลยก็ได้น่ะครับ ให้มันซาบซึ้ง ให้มันเปี่ยมความหมาย ให้มันอินแบบจัดๆ ไปเลยว่าสตีฟมีค่าต่อไดอาน่าแค่ไหน เพื่อที่พอถึงช่วงท้ายมันจะได้พีคแบบเต็มๆ กับปมนี้
ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นไปอีก หนังก็ต้องบิ้วให้เราเห็นถึงความน่ารัก+ความแมนของสตีฟควบคู่ไปกับความเปิ่นหลงยุค (ซึ่งถือเป็นการสลับขั้วกันกับภาคแรกจากที่สตีฟต้องมาคอยสอนไดอาน่า ส่วนภาคนี้ไดอาน่าต้องมาคอยสอนสตีฟให้เข้ากับโลกใหม่) อะไรเหล่านี้นี่ก็จะยิ่งทำให้จุดพีคในปมตอนท้ายมีพลังมากขึ้นไปอีกครับ แล้วไหนจะปมของบาร์บาร่าหรือแม็กซ์เวลล์ก็เหมือนกันครับ หนังสามารถพาเราจมลึกไปกับปมของพวกเขาได้มากกว่าที่เป็น
หนังควรทำให้เราเห็นในเชิงลึก ไม่ว่าจะเห็นความลำบากใจของไดอาน่า, เห็นความเด็ดเดี่ยวของสตีฟ, เห็นความสับสนของบาร์บาร่า และเห็นการหลงทางของแม็กซ์เวลล์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น เราเห็นครับ แต่ภาพที่เห็นยังไม่ลึกพอ ยังไม่สามารถบิ้วให้เราอินได้แบบเต็มที่ อย่างเรื่องของสตีฟที่ดูจะเน้นไปที่ความเปิ่นหลงยุคของเขาเสียมาก ซึ่งจริงๆ การจะให้สตีฟดูเปิ่นน่ะมันไม่ผิดอะไรหรอกครับ มันก็เหมาะอยู่เพราะสตีฟเป็นคนหลงยุค แต่ขณะเดียวกันแทนที่จะให้สตีฟเปิ่นให้ดูฮาอย่างเดียว หนังสามารถเอาความเปิ่นของสตีฟมาสะท้อนตัวตนของเขา (เน้นย้ำให้เราเห็นถึงสิ่งที่ทำให้ไดอาน่ารักในตัวเขา) – สะท้อนมุมคิดที่แตกต่างระหว่างคนรุ่นก่อนกับคนรุ่นใหม่ (ให้สตีฟวิพากษ์สิ่งใหม่ๆ ที่เขาพบเห็น) – หรือไม่ก็เอามาสะท้อนตัวตนของไดอาน่าด้วยก็ยังได้ แต่เท่าที่เห็นนี่ก็เหมือนจะใช้ “เปิ่น” มากระตุ้นขำ มากกว่าจะใช้ “เปิ่น” เพื่อกระตุ้นคิด
พูดถึงสาระแง่คิดแล้ว ประเด็นหลักที่ถือว่าสำคัญในเรื่องนี้ก็คือการชี้ให้เราเห็นถึงโทษมหันต์ของความทะยานอยาก ความโลภ ความอยากได้ใคร่ดีแบบไม่รู้จักพอของมนุษย์
อันที่จริงแล้วคนเราน่ะหากอยากได้อยากมีก็ได้ครับ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว คนเราย่อมต้องมีความอยากหรือความทะเยอทะยานบ้าง ในมุมหนึ่งมันก็เป็นสิ่งที่จะทำให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ หรือเป็นเหตุผลในการดำเนินชีวิตต่อไปได้ แต่มันจะมีปัญหาก็ตอนที่เราอยากได้แบบไม่มีที่สิ้นสุด ไม่คิดจะหยุดหรือไม่คิดจะพอนี่แหละ เพราะเมื่อถึงจุดนั้นเรามักจะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ทำให้เกิดความเสียหายต่อสังคม ซึ่งถ้าถึงจุดนั้นแล้วเรายังเอาแต่คิดเข้าข้างตัวเอง และไม่คำนึงถึงคนอื่นๆ เมื่อนั้นหายนะก็จะขยายขนาดใหญ่โตขึ้นตามความทะยานอยากของเรา
สงครามใหญ่ๆ หรือการถล่มทลายหนักๆ ไม่ว่าจะทางเศรษฐกิจหรือสังคมที่เกิดขึ้นในโลกนี้ในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมา (รวมถึงหลายๆ ปัญหาที่ยังคงอยู่ในปัจจุบันนี้) ก็เกิดจากอะไรแบบนี้นี่แหละครับ
และบางที คนๆ เดียวที่จะหยุดตัวเราได้ ก็คือตัวเราเอง… คำถามคงมีเพียง “จะหยุด หรือไม่หยุด”
“สนุกได้อีก” คงเป็นคำจำกัดความที่ผมนิยาม WW84 ครับ หลายอย่างมาถูกทิศ แต่ทางมันราบเรียบไปหน่อย ซึ่งภาคนี้ Patty Jenkins ก็มากำกับเหมือนเดิมครับ แต่ความเพลินความลื่นไม่เท่าภาคก่อน… ถึงจุดนี้ก็อดคิดไม่ได้น่ะนะครับ ถ้าเป็นสมัยก่อนหน้านี้ที่หนังซูเปอร์ฮีโร่ DC มักมีผู้บริหารมาแทรกแซงจนหนังไม่ตรงกับวิสัยทัศน์ของผู้กำกับ แต่กับงวดนี้ Jenkins ถ่ายทอดออกมาตามที่เธออยากให้เป็น แล้วผลลัพธ์ที่ได้ก็ออกมาประมาณนี้ ซึ่งก็อย่างที่บอกไว้แต่แรกครับ ว่าผมเข้าใจแหละ เธอคงอยากนำเสนอออกมาแบบนี้ เราก็ดูแล้วก็ว่ากันไป ชอบไม่ชอบก็ว่ากันไป ส่วยผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่ครับ แค่ยังดีได้อีกและสนุกตื่นเต้นได้อีกเท่านั้น
ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ผมว่าน่าพอใจครับ ดาราเลือกมาดี นอกจาก Gadot และ Pine จากภาคแรกแล้ว หน้าใหม่อย่าง Wiig ก็เหมาะกับบทบาร์บาร่า (ซึ่งเธอคือคนที่ผุ้กำกับ Jenkins หมายตาไว้แต่แรกว่าจะให้มารับบทนี้ครับ) ส่วน Pascal ก็หายห่วงครับ บทแบบนี้เขาเล่นได้ลื่นไหลอยู่แล้ว โดยส่วนตัวผมว่าลีลาการแสดงของเขานี่จัดว่าดีมากๆ เขาทำให้แม็กซ์เวลล์ดูบ้าอำนาจ หลงตัวเอง แต่ขณะเดียวกันในใจส่วนลึกก็ยังมีความสับสนบางอย่าง Pascal สามารถถ่ายทอดบทนี้ออกมาได้ดีครับ เพียงแต่… ก็อย่างที่บอกนั่นแหละว่าถ้าลงลึกกว่านี้ก็จะดีได้อีกเยอะ
และอีกคนที่อยากพูดถึงคือ Kristoffer Polaha ชายรูปหล่อที่เป็นร่างให้สตีฟกลับมาใหม่อีกรอบ เขาอาจเป็นดาราหน้าใหม่สำหรับใครหลายๆ คนนะครับ แต่ผมคุ้นหน้าเขามานานพอควรจากบทบาทพระเอกในหนังโรแมนติกของ Hallmark ก็ถือว่าหน่วยก้านองอาจสมาร์ทดี กับการแสดงก็ถือว่าพอเหมาะครับ นี่ล่าสุดเขาจะได้ร่วมแสดงใน Jurassic World: Dominion ด้วย ก็น่าจับตาอยู่เหมือนกันว่าเขาจะมีพื้นที่ให้เขาแจ้งเกิดไหม… วงการภาพยนตร์สมัยใหม่นี่มันคาดเดาได้ยากเหมือนกันนะครับ
ฉากแอ็กชันแม้จะมีไม่มาก แต่ก็ทำออกมาได้ดีครับ งาน CG ต่างๆ ก็ไว้ใจได้ ส่วนดนตรีของ Hans Zimmer ก็มาพร้อมกลิ่นอายยุค 80 แบบพอดีๆ ช่วยเสริมอารมณ์ได้ในหลายวาระเหมือนกัน (แต่ก็อีกนั่นแหละครับ ยังไม่เด่นชัดจัดเจนเหมือนผลงานเรื่องอื่นๆ ของเขาก่อนหน้านี้ในจักรวาล DC)
อาจไม่สมหวังสักเท่าไรสำหรับ WW84 แต่ก็นั่นแหละครับ เรื่องธรรมดาของชีวิต หนังที่มีคนทำออกมา ก็ย่อมมีทั้งเรื่องที่โดนใจและไม่โดนใจเรา โดยส่วนตัวผมมักจะอิจฉานะครับ เวลาที่ใครสักคนดูหนังที่เรารู้สึกว่าไม่โดนใจ แต่เขากลับบอกว่าชอบ นั่นแสดงว่าเขาได้กำไรนะ เพราะเขาสนุกกับหนังที่เรารู้สึกเฉยๆ… แบบนั้น 2 ชั่วโมงครึ่งที่เขาใช้ไปกับหนังเรื่องนี้ แม้จะใช้เวลาไปเท่ากับเรา แต่เขาจะมีความสุขสนุกสนานมากกว่าเรา… แทนที่เราจะมัวแต่มองว่า “หนังแบบนี้เนี่ยนะที่คุณชอบ ชอบไปได้ยังไงเนี่ย” แล้วเราหันมายินดีกับความสุขที่เขาได้รับ แบบนั้นแม้เราจะไม่ได้ชอบหนังเรื่องนั้นมากกว่าเดิม แต่อย่างน้อยเราก็จะรู้สึกดีที่หนังเรื่องนี้สร้างความสุขให้กับคนอื่นได้…
การที่เราได้รู้ว่าม่ีคนมีความสุข นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีประการหนึ่ง… ว่าไหมครับ ^_^
สองดาวกว่าๆ ครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Fantasy, Superheroes