Action

ไซอิ๋ว 3 ตอน ศึกราชาวานรตะลุยเมืองแม่ม่าย (2018) The Monkey King 3: Kingdom of Women

Untitiled05471

ไซอิ๋วภาคนี้กลายเป็นภาคที่ผมชอบที่สุดในบรรดา 3 ภาคที่สร้างกันมาครับ ยอมรับว่าคาดไม่ถึงเหมือนกัน ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองน่าจะเฉยๆ เพราะจำได้เลยว่าตอนดูไซอิ๋วฉบับเก่าๆ แล้วพอถึงตอนเมืองแม่ม่ายทีไร ผมจะรู้สึกเฉยกับตอนนี้ทุกที มันรู้สึกเหมือนเป็นตอนเบาๆ เอาฮาน่ะครับ ไม่ได้มีปีศาจให้ปราบ พล็อตไม่ได้ซับซ้อน ปมไม่ได้มากมาย เรื่องราวก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ สิ่งที่พวกหงอคงต้องรับมือก็คือเหล่าสตรีในเมืองลับแลที่มากกฎเยอะกติกา แต่ละคนนี่ออกแนวหญิงเยอะจนบางทีก็อดรำคาญไม่ได้

แต่มาเวอร์ชั่นนี้ อะไรๆ เปลี่ยนจากที่เคยคุ้นพอสมควรครับ และที่สำคัญคือมันมีอะไรดีๆ สอดแทรกอยู่ในเรื่องแบบกำลังดีอีกด้วย

ภาคนี้ก็ว่าด้วยพระถังซัมจั๋ง (เฝิงเส้าเฟิง) กับเหล่าศิษย์ที่นำโดยซุนหงอคง (กั๊วฟู่เฉิง) เดินทางหลงเข้ามาในเมืองลับแลที่มีแต่อิสตรีอยู่เต็มเมือง และสำหรับดินแดนนี้แล้ว บุรุษคือเผ่าพันธุ์อันตรายที่สมควรโดนประหารสถานเดียว เลยทำให้พวกหงอคงต้องหาทางหลบหนีออกไปให้ได้ เพื่อจะได้ไปเดินทางสู่ชมพูทวีปต่อไป

ถ้าใครคาดหวังฉากแอ็กชั่นหรือการผจญภัยมันส์ๆ ขอบอกเลยครับว่าต้องงดความคาดหวังเหล่านั้นโดยพลัน เพราะภาคนี้ไม่ได้เน้นบู๊ ไม่ได้เน้นตีกับปีศาจ แต่ถ้าถามว่ามีการสู้กับปีศาจไหมก็ตอบได้ว่ามีครับ หนังมีฉากบู๊ที่จัดว่าอลังการมากโขอยู่ในตอนท้าย ซึ่งสำหรับผมแล้วฉากที่พวกหงอคงตีกับปีศาจแห่งแม่น้ำนี่เป็นอะไรที่มันส์ไม่เลว เพียงแต่กว่าจะมีฉากบู๊แบบจริงๆ จังๆ ก็ปาไปตอนท้ายแล้วน่ะครับ และยังเป็นการบู๊แบบ CG ด้วย ไม่ได้บู๊อัดหมัดกันแต่อย่างใด

ดังนั้นถ้าใครอยากดูเรื่องนี้เพราะอยากเห็นหงอคงกับพวกบู๊มากๆ ก็คงผิดหวังไม่มากก็น้อยครับ

โทนของเรื่องยังคงคล้ายกับที่เคยดูในไซอิ๋วเวอร์ชั่นอื่นๆ อย่างที่บอกครับว่าตอนนี้เน้นอะไรที่เบาๆ ไม่ว่าจะการที่พวกพระถังต้องรับมือกับเหล่าอิสตรี หรือเรื่องวุ่นๆ ตอนที่พวกเขาต้องตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัว เรียกว่าบรรยากาศโดยรวมมันออกแนวฮามากกว่าจะเป็นอะไรที่จริงจัง

แต่ถ้าถามว่าทำไมผมถึงชอบ? ก็ตอบได้เลยว่ามันมีอะไรที่โดนใจมากกว่าที่คิดครับ

สิ่งแรกที่ผมรู้สึกเลยหลังดูจบคือผมไม่ยักกะรำคาญกับเรื่องราวในเมืองแม่ม่ายแบบที่ผ่านๆ มาแฮะ ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะเวอร์ชั่นนี้ตัดทอนส่วนที่น่ารำคาญในเวอร์ชั่นก่อนๆ ออกไป ไม่ว่าจะความเยอะที่เยอะเกินไปของเหล่าสตรี ก็คงเหลือไว้แค่ภาพของชาวเมืองที่มีความเคร่งครัดในกฎกติกาและขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งมันก็ไม่ได้มากเกินจนน่าหงุดหงิดนะครับ มันดูน่าเชื่อและพอเหมาะ ทำให้เราไม่มองพวกเธอเป็นหญิงเยอะหรือเป็นตัวตลกแบบที่หลายๆ เวอร์ชั่นก่อนหน้าเคยทำไว้

Untitiled05472

ต่อมาเลยคือความเขียวขจีครับ อันนี้เป็นความชอบส่วนตัวโดยแท้ คือสำหรับผมแล้วเนี่ยเวลานึกถึงประเทศจีน ผมจะนึกถึงป่าเขาลำเนาไพร นึกถึงต้นไม้ใบหญ้าเขียวสดที่ขึ้นแบบหนาตา ดูแล้วมันสดชื่นระรื่นตา ซึ่งหนังจีนระยะหลังบางทีก็ไม่ค่อยมีฉากป่าเขาที่ว่า ส่วนมากจะเป็นที่โล่งๆ หรือไม่ก็เป็นทะเลทรายซะเยอะ แต่เรื่องนี้นี่เขียวชอุ่มพุ่มไสว ต้นไม้และเขาเขียวมีเพียบจนอิ่มเลยครับ มิหนำซ้ำยังมีช่องเขาประเภทที่มีมอสขึ้นด้วย เป็นอะไรที่ชอบจริงๆ ครับ และมันก็เข้ากับความเป็นเมืองลับแลมากๆ เพราะเมืองมันต้องดูเป็นธรรมชาติแบบหนาแน่นแบบนี้แหละ รวมถึงฉากแม่น้ำลำคลองด้วยครับ สวยจริงๆ

ประเด็นถัดมา ที่เรียกได้ว่าเป็นความชอบที่สำคัญที่สุดคือปมดราม่าความรักของพระถังครับ เท่าที่ฟังมามีหลายคนไม่ชอบในจุดนี้เพราะมันมองดูน่าเบื่อ แต่สำหรับผมแล้ว ผมชอบครับ มันมีความลึกซึ้งและสวยงามที่พอดิบพอดี และยังเป็นการเสริมมิติให้กับพระถังได้อย่างดีด้วย

ในเรื่องนั้นพระถังของเราจะมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเจ้าหญิงแห่งเมืองลับแลครับ ซึ่งความรักที่เกิดก็อาจจะดูเป็นสูตรสำเร็จอยู่ แต่จุดที่ผมชอบมันคือหลังจากนั้นครับ หลังจากที่พวกเขาเริ่มรักกัน เริ่มมีความผูกพันกัน ฉากอย่างตอนที่พระถังเขียนตัวอักษรลงบนพื้นดินแล้วเจ้าหญิงทรงพระอักษรตามนั้น มันดูเป็นฉากง่ายๆ นะ แต่มันสื่อชัดครับว่าทั้งสองเข้าใจกันและจูนกันติดโดยที่ไม่ต้องพูดพล่ามอะไรมาก

และในฉากต่อๆ มาที่พระถังกับเจ้าหญิงต้องฟันผ่าอะไรมาด้วยกัน มันก็ดูเป็นการสั่งสมความรักระหว่างกันแบบที่ดูน่าเชื่อในระดับหนึ่ง ยิ่งถ้ามามองในมุมที่ว่า จริงๆ แล้วพระถังนั้นมีความรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ภายในนะครับ ลองคิดดูว่าท่านเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกก็จริง แต่ท่านก็ยังเป็นปุถุชนที่มีความรู้สึกอยู่ (นี่คือหมายถึงในเรื่องนะครับ) ท่านโกรธเป็น (อย่างตอนที่โกรธหงอคงมากๆ เมื่อคราวเผชิญกับปีศาจกระดูกขาว) ท่านหลงเป็น (แบบตอนที่ท่านหลงยึดติดในความคิดของตัวเองมากกว่าจะเชื่อคำอธิบายของหงอคง นี่ก็กรณีตอนสู้กับปีศาจกระดูกขาวเหมือนกัน)

ดังนั้นจึงไม่แปลก หากท่านจะมีอารมณ์รักเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง เพราะถึงอย่างไรท่านก็ยังคงเป็นปุถุชนคนหนึ่ง

ย้อนกลับไปที่ผมบอกไว้ว่าท่านมีความรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่ภายใน ลองสังเกตสิครับว่าแม้ท่านจะเดินทางไปพร้อมศิษย์อย่างหงอคง, ตือโป๊ยก่ายและซัวเจ๋ง แต่ถามจริงๆ เถอะ มีใครที่เข้าใจและจูนกับท่านติดบ้าง หงอคงก็ออกแนวห้าวๆ ตรงๆ แม้เขาจะรู้ใจพระถังก็ตาม แต่มันก็ออกแนวศิษย์เคารพอาจารย์มากกว่าจะเป็นมิตรสหายที่รู้ใจ – ส่วนโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งนี่ไม่ต้องพูดถึงครับ ไม่ใช่สหายสำหรับพระถังแน่นอน

แต่สำหรับพระถังกับเจ้าหญิงแล้ว พวกเขาจูนกันติด มีความเข้าอกเข้าใจกันและกันเพิ่มขึ้นตามลำดับ พวกเขาเติมเต็มบางสิ่งบางอย่างแก่กันโดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องเอื้อนเอ่ย

Untitiled05473

จุดพีคเกี่ยวกับความรักของพวกเขาทั้งสอง สำหรับผมแล้วยกให้ตอนท้ายครับ เมื่อพระถังตัดสินใจสละจีวรและหมายจะอยู่ดูแลเจ้าหญิงไปเรื่อยๆ แต่แทนที่เจ้าหญิงจะเห็นชอบ นางกลับเล่าถึงความฝันของนางให้พระถึงฟัง นางฝันไปว่านางกับพระถังได้อยู่ด้วยกัน… แต่พระถังนั้นหามีความสุขไม่

และในนาทีที่พระถังตระหนักรู้ว่าความรักเป็นหนึ่งในบ่อเกิดแห่งความทุกข์สำหรับมนุษย์หลายๆ คน และทางเดียวที่จะช่วยผู้คน (รวมถึงตัวท่านเอง) เพื่อการดับทุกข์ และออกจากความทุกข์ ก็คือไปเรียนรู้ศึกษาหลักธรรม ไปนำพระไตรปิฎกกลับมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือชี้แนะแนวทางแห่งการดับทุกข์ให้กับผู้คนทั้งหลาย

นาทีที่ว่านั้นเอง มิใช่เพียงพระถังจะตระหนักถึงความจริงนี้เท่านั้น แต่เจ้าหญิงเองก็เข้าใจเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นผู้ที่นำจีวรที่พระถังสละไป นำกลับมาใส่คืนให้กับพระถังด้วย

ในจุดนี้คำที่ว่า “ศีลเสมอกัน” ก็ผุดขึ้นในหัวครับ… พวกเขาเป็นคู่กันจริงๆ

ครั้นเรื่องราวมาถึงตอนท้าย มันก็ลงสูตรตรงที่พระถังต้องเดินทางต่อ พวกเขาทั้งสองต้องแยกจากัน แต่การแยกจากนี้ไม่ได้จบลงอย่างฟูมฟาย เพราะต่างฝ่ายต่างก็ยังตระหนักว่าความรักระหว่างพวกเขานั้นได้เกิดขึ้นจริง แต่แทนที่พวกเขาจะปล่อยให้ความรักกลายเป็นการครอบครองและจองจำซึ่งกันและกัน พวกเขากลับเลือกที่จะให้ความรักนั้นกลายเป็นสิ่งที่สร้างอิสระให้กันและกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ ต่างคนต่างตระหนักว่าความรักครั้งนี้มีบทเรียนอันล้ำค่าสอนให้พวกเขาเข้าใจความจริงของชีวิตมากขึ้น

จุดนี้ก็ทำให้คิดต่อน่ะครับ ว่าการเดินทางของพระถังนั้น (ที่เราเห็นในหนังหรือในละคร) ก็มักจะมีแค่ท่านโดนปีศาจจับไป – ท่านเทศน์สอนปีศาจหรือสอนผู้คน – ท่านขี่ม้าเดินทางไปเรื่อยๆ ฯลฯ แต่ถ้าลองมาคิดจริงๆ แล้ว เรื่องราวคงไม่ได้มีแค่นั้นหรอกครับ มันย่อมต้องมีประสบการณ์ที่ท่านพานพบกับตัวโดยตรงและมันได้สอนให้ท่านเข้าใจเพื่อนมนุษย์ เข้าใจอารมณ์-ความรู้สึกนึกคิดของคน รวมถึงเข้าใจหยั่งรู้ลึกลงไปในตนเอง – ผมรู้สึกว่ามุมมองที่เราเห็นในหนัง ทำให้เราเห็นมิติของท่านมากขึ้น

นั่นล่ะครับคือเหตุผลที่ทำให้ผมชอบหนังภาคนี้ขึ้นมา ชอบเพราะเรื่องราวของพระถังซัมจั๋งนี่แหละ

Untitiled05474

ถึงจุดนี้ผมก็ย้อนนึกถึงฉากที่เจ้าแม่กวนอิมปรากฏกายต่อหน้าพระถัง (หลังจากพระถังมีใจให้เจ้าหญิงแล้ว) และได้กล่าวว่า “อย่าลืมว่าวันที่เจ้าสวมจีวรอีกครั้ง ก็คือวันที่เจ้าต้องเดินทางต่อไปยังชมพูทวีป เจ้าจงระลึกให้ดี”

คำพูดนี้ดูธรรมดายิ่ง แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะมองถึงความหมายลึกซึ้งที่อยู่ในภายใน…

เหตุใดพระถังซัมจั๋งถึงต้องเดินทางไปยังชมพูทวีป? ก็เพื่ออัญเชิญพระธรรมแท้ที่อยู่ในพระไตรปิฎกกลับมานำทางให้กับชีวิตเพื่อนมนุษย์ และความจริงอีกมุมหนึ่งก็คือ ตัวพระถังเองก็หาได้รู้แจ้งแทงตลอดในหลักธรรมทั้งหมดทั้งมวลไม่ ท่านอาจรู้ในพระธรรม แต่ยังไม่รู้ทั้งหมด อีกทั้งท่านเองก็ยังมีอารมณ์ความรู้สึกเฉกเช่ยเดียวกับปุถุชนทั้งหลาย และท่านเองก็ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ ท่านจึงต้องมีการไปศึกษาเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถเข้าใจถึงทางดับทุกข์ของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง

ดังนั้นการเดินทางไปยังชมพูทวีปก็คือการเดินทางไปเพื่อศึกษาแนวทางในการดับทุกข์ทั้งต่อตัวท่านเองและต่อผู้อื่น

แต่หากพระถังเลือกที่จะหยุดเดินทาง และเลือกจะครองรักอยู่กับเจ้าหญิง นั่นเท่ากับท่านได้ยุติการเรียนรู้วิถีสู่หนทางแห่งการดับทุกข์ลงชั่วขณะ และหันมาใช้ชีวิตสามัญแบบคนธรรมดาทั่วไป

และเมื่อถึงจุดหนึ่ง เมื่อท่านต้องใช้ชีวิตในวิถีแห่งโลกที่ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุดท้ายแล้วท่านก็จะต้องกลับมาเผชิญกับความทุกข์ครั้งแล้วครั้งเล่า เผชิญจนถึงจุดที่ทนต่อไปไม่ได้ เมื่อนั้นท่านก็จะต้องค้นหาทางแห่งการดับทุกข์อีกครั้ง และเมื่อนั้นท่านก็ต้องกลับมายืนในจุดเดิม นั่นคือเดินทางไปยังชมพูทวีปเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎก

ดังนั้นสุดท้ายปลายสุดแล้ว ไม่ว่าจะปลดจีวรหรือสวมจีวร ก็ต้องลงเอยด้วยการสวมจีวรอยู่ดี

ตราบใดที่ทุกข์ยังมี ทางยังหม่น คนยังหลง ตราบนั้นภาระหน้าที่ของพระถังก็ยังคงไม่สำเร็จเสร็จสิ้นไป…

… มานึกๆ ดูก็ตระหนักได้ว่าหงอคงบทไม่เยอะนักครับ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของพระถังมากกว่า สัดส่วนของเรื่องเลยเทไปที่ดราม่ามากกว่าจะเป็นแอ็กชันผจญภัย ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจหากใครๆ จะชอบภาคนี้น้อยที่สุด  แต่ด้วยประเด็นดังที่กล่าวไป ทำให้ผมค่อนข้างชอบภาคนี้ที่สุดครับ

ในแง่งานสร้างก็ถือว่ายอดครับ อยากจะบอกว่าฉากต่างๆ ในหนังนี่เนรมิิตจาก CG เสียส่วนใหญ่ครับ แต่ก็เป็นการเนรมิตที่เนียนมาก เพลงและดนตรีประกอบก็นับว่าไพเราะทีเดียว

ก็ต้องแล้วแต่ล่ะนะครับ ใครอ่านที่ผมเขียนแล้วรู้สึกว่าจูนติดกับไซอิ๋วภาคนี้ก็อยากให้ลองดูครับ แต่หากใครต้องการไซอิ๋วสายมันส์ ตีกันบวกอภินิหารเยอะๆ แล้ว ก็คงต้องบอกว่าไม่ใช่ภาคนี้ครับ

 

สองดาวกว่าๆ ครับ

Star21

(6.5/10)

Untitiled05541