รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Table 19 (2017) โต๊ะ 19

21032338_1744975005533293_1830286127100679740_n

Table 19 เป็นหนึ่งในหนังที่ผมสนใจตั้งแต่ทราบพล็อตเรื่องครับ และยิ่งได้ Anna Kendrick มานำแสดงอีกก็ยิ่งน่าสนใจไปกันใหญ่ แม้ตัวอย่างจะออกมาแบบเรื่อยๆ ไม่ได้มีพลังดึงดูดแบบเต็มๆ ก็ตาม

และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างหนังที่ผมชอบโดยที่นักวิจารณ์หรือใครๆ ไม่ได้โปรดปรานหนังเรื่องนี้นัก ซึ่งก็อย่างที่ผมบอกเสมอครับว่าหนังแต่ละเรื่องมันจะดี-แย่ โดน-ไม่โดน เราต้องดูเองครับ คำบอกเล่า คำวิจารณ์ หรือคอมเมนต์ของคนอื่นๆ ก็ไกด์ได้ในระดับหนึ่ง แต่ถึงที่สุดแล้วก็ต้องให้เรานี่แหละตัดสิน

และขณะเดียวกันหนังที่ผมชอบหรือใครๆ บอกว่าชอบ ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องชอบด้วยเสมอไป หากหนังที่โลกนิยมแต่เราเฉยๆ มันก็เป็นเรื่องปกติ คนที่เฉยก็ไม่ต้องไปแซวคนที่ชอบ ส่วนคนที่ชอบก็ไม่จำเป็นต้องไปแขวะคนที่เฉยหรือไม่ชอบ (เพราะเอาเข้าจริงแล้วมันไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา และยังออกแนวเสียเวลาชีวิตกับเสียอารมณ์ชีวาอีกต่างหาก)

กับหนังเรื่องนี้อาจทำให้หลายคนนึกถึง The Breakfast Club ครับ เรื่องของแขกโต๊ะ 19 ที่ได้บัตรเชิญมางานของฟรานซี่ มิลเนอร์ (Rya Meyers) ซึ่งแต่ละคนก็มาพร้อมเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ไม่ว่าจะคู่สามีภรรยาเคปป์ (Craig Robinson และ Lisa Kudrow) ที่ดูจะจิกกัดกันได้ตลอด, เรนโซ (Tony Revolori) ไอ้หนุ่มที่มาเพราะคาดหวังว่าจะได้จีบสาว, วอลเตอร์ (Stephen Merchant) หนุ่มแว่นหน้ายิ้มที่ชอบพูดตะกุกตะกัก และบอกกับใครๆ ว่าเขาคือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ

ตามด้วย โจ ฟลาเนแกน (June Squibb) พี่เลี้ยงในอดีต (ที่นานมากๆ มาแล้ว) ของเจ้าสาว และ เอโลอิส แมคแกร์รี่ (Anna Kendrick) ที่โดนเท็ดดี้ (Wyatt Russell) พี่ชายของเจ้าสาวบอกเลิกก่อนงานแต่งจะเริ่มเพียงไม่กี่เดือน

ออกตัวเลยว่าผมชอบหนังสไตล์นี้ครับ หนังประเภทที่คนไม่รู้จักกันมาเจอกันโดยบังเอิญในงานสักงานหนึ่ง หรือที่สักที่หนึ่ง (แบบ The Breakfast Club, Before Sunrise และ Before We Go) แล้วก็เปิดบทสนทนาทำความรู้จักกัน ก่อนที่พวกเขาจะค่อยๆ เข้าใจกันและกันมากขึ้น

สำหรับผมหนังแนวนี้มีเสน่ห์ดีครับ และความน่าติดตามมันจะเกิดขึ้นได้ไม่ยากหากคนทำสามารถคุมบทสนทนาและเรื่องราวให้มันน่าสนใจ ยิ่งถ้าได้ดาราดีๆ มาฟอร์มทีมกันแล้วล่ะก็ ผลลัพธ์ก็จะเป็นหนังดีๆ ที่ชวนประทับใจได้เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

ตอนต้นๆ หนังก็อาจจะเรื่อยๆ ครับ แนะนำตัวละครไป พอตัวละครมาเจอกันที่โต๊ะ 19 อารมณ์มันก็อาจจะประดักประเดิดกันอยู่บ้าง ผมว่าก็เหมือนอารมณ์ตอนเราไปงานแต่งใครที่ไม่ค่อยสนิทแล้วก็ต้องนั่งร่วมโต๊ะกับคนที่ไม่คุ้นน่ะครับ การวางตัว การพูดจา หรือแม้กระทั่งเวลาเอาตะเกียบคีบอาหารมันก็คงจะแปลกๆ กันบ้างล่ะ (แต่หากไปกับเพื่อน มันก็จะอีกอารมณ์หนึ่ง)

แล้วพอหนังเดินเรื่องไปความน่าสนใจก็เพิ่มตามลำดับครับ เพราะแต่ละคนดูจะมีปมให้ติดตาม ไม่ว่าจะปมชีวิต ปมจิตใจ หรือปมในอดีต แล้วมันก็ค่อยๆ เผยออกมาทีละน้อย ซึ่งไปๆ มาๆ ปมพวกนี้กลายเป็นตัวเพิ่มความน่าติดตามให้กับหนังได้อย่างดี โดยเฉพาะเรื่องของเอโลอิสที่มีรายละเอียดมากกว่าที่คิด

หนังมีอะไรให้ฮาได้เรื่อยๆ ครับ แต่ฮาในที่นี้ไม่ได้ฮาแตกตลกมากมายอะไรน่ะนะครับ แต่มันฮาแบบแสบๆ เจ็บๆ ฮาแบบเสียดสี หรือไม่ก็ฮาแบบสะท้อนความจริง อย่างตอนเอโลอิสบรรยายว่าแต่ละโต๊ะในงานรวมคนแบบไหนไว้บ้าง เช่นโต๊ะนั้นรวมเหล่าเพื่อนของแม่เจ้าบ่าวที่ชอบทำตัวเป็นเจ้าจักรวาล, โต๊ะนั้นมีไว้รวมเด็ก (ที่ชอบเล่นแบบไม่รู้เรื่อง)

หรือโต๊ะนั้นรวมคนโสดที่หน้าตาดี ส่วนอีกโต๊ะรวมคนโสดที่หน้าตาไม่ดีและไม่มีหวังจะได้แอ้มใครในงานนี้ ฯลฯ คือผมยอมรับเลยครับว่าช่างคิดดีๆ จริงๆ มันฮานะ และมันยังทำให้เรานึกถึงงานแต่งจริงๆ ที่เราไปน่ะครับ หลายงานมันมารูปนี้จริงๆ นะ และคุณจะสามารถประเมินความสำคัญของแต่ละโต๊ะได้เลยน่ะว่าโต๊ะไหนเป็นดาวฤกษ์ที่คนจัดงานให้ความสำคัญ และโต๊ะไหนเป็นดาวเคราะห์น้อยที่อยู่แถวๆ ปลายทางช้างเผือก…

จริงๆ บางโต๊ะบ่าวสาวก็ไม่ได้ให้ความสำคัญหรอกครับ แต่เผอิญเป็นผู้ใหญ่ ผู้มีหน้ามีตาไง เลยได้มานั่งหน้า แต่คนที่บ่าวสาวรู้จักจริงๆ อาจต้องไปอยู่โน่นนนนนนนนน แต่ก็ขัดไม่ได้เพราะพ่อแม่และผู้ใหญ่เขาอยากให้จัดแบบนั้น พูดได้เต็มปาก เพราะเคยจัดงานมาแล้วครับ เลยรู้ดีเพราะเจอมากับตัว 555

ในขณะที่โต๊ะ 19 นี่ก็ออกแนว “โต๊ะสำรอง” ที่คนที่ถูกเชิญอาจจะมาหรือไม่มาก็ได้ ไม่ใช่คนที่สนิทอะไรมาก หรือไม่ก็เป็นคนที่ถูกเชิญมาตามมารยาท (พอคนบนโต๊ะรู้ความหมายมันก็ชวนให้เจ็บอยู่เหมือนกันครับ – อยากบอกว่าบางทีเราไปงานแบบนี้ก็มีอารมณ์แบบนี้เหมือนกันนะ-เพราะงั้นเลยอินมั้งครับ)

ผมชอบที่หนังตีความลักษณะของตัวละครในโต๊ะ 19 เป็นเหมือน “คนนอกแถว” หน่อยๆ คือพวกเขาอาจดูเป็นคนที่ไม่สลักสำคัญสำหรับใคร หรืออาจเป็นคนแปลกในสายตาคนอื่น แต่คนพวกนี้จะมองอะไรทีี่คนอื่นไม่มอง จะ Sensitive และจับความรู้สึกเก่ง นั่นเลยทำให้พวกเขาสนิทกันได้เร็ว และไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นคนที่คอยให้คำแนะนำ-คำปรึกษาต่อกัน… ผมว่ามันเป็นอะไรที่อบอุ่นดีนะ

ผมว่าเหตุผลสำคัญที่ผมชอบหนังเรื่องนี้ก็คงเพราะแบบนี้ล่ะครับ เรื่องของคนที่ไม่ได้สลักสำคัญสำหรับ “สังคมกระแส” แต่พวกเขาใช่จะไร้ค่า เพราะพวกเขาก็มีหัวใจ และดีไม่ดีพวกเขาจะห่วงใยคนอื่นมากกว่า “คนหมู่มากในสังคม” ซะอีก แต่บางทีความห่วงใยของพวกเขากลายเป็นของขำ ความ Sensitive ของพวกเขากลายเป็นความเพี้ยนอะไรแบบนั้น

ตัวละครที่ผมชอบสุดคงจะเป็นโจน่ะครับ เธอคือพี่เลี้ยงที่เลี้ยงเจ้าสาวและพี่ของเจ้าสาวมาตั้งแต่เล็ก เธอเป็นพี่เลี้ยงรุ่นดึกที่คิดถึงคนอื่นก่อนตนเองเสมอ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ลเอยด้วยการอยู่เพียงลำพัง ไร้คนเหลียวแล กลายเป็นคนแก่ไร้ความหมายหรือมนุษย์ป้าสำหรับใครหลายๆ คน

ตัวละครของโจสะท้อนความจริงบทหนึ่งในโลกครับ มันมีจริงๆ นะคนที่ถูกฝึกมา ถูกหล่อหลอมมาให้คิดถึงคนอื่นก่อนตนเองเสมอ คนที่โตขึ้นมาพร้อมความเห็นใจ พร้อมความอยากที่จะให้ หรือบางคนอาจโตมาโดยถูกสอนว่าการคิดถึงตัวเองก่อนเป็นสิ่งไม่ดี เป็นความเห็นแก่ตัว ฯลฯ

แต่น่าเศร้าที่คนพวกนี้มักจะตกเป็นเหยื่อของเสือสิงห์กระทิงแรดในสังคมที่คอยจะตักตวงผลประโยชน์ คอยใช้ความใจดี เห็นใจ ความกรุณาของคนกลุ่มนี้เป็นเหมือนแหล่งหาอาหาร หรือไม่ก็จะถูกเพิกเฉย ถูกลืม เป็นเหมือนตัวประกอบในชีวิตของคนทั่วไป และไม่ได้เป็นตัวเอกในชีวิตใครสักที

ตอนโจเล่าให้ฟังว่าเธอเลือกจะไปหาของเล่นให้พี่น้องมิลเนอร์แทนที่จะไปนัดดูตัวที่มีคนจัดให้ หากวันนั้นเธอเลือกที่จะสนใจคนอื่นให้น้อยลง แล้วสนใจตนเองให้มากขึ้น มันอาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต เธออาจไม่ต้องอยู่โดดเดี่ยวไม่มีใครเหลียวแลมาจนถึงตอนนี้ก็ได้ (แม้ในหนังจะลงเอยด้วยการที่โจได้เพื่อนใหม่เป็นกลุ่มโตีะ 19 แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีครับว่าคนอื่นๆ จะโชคดีได้เจอแบบที่โจเจอ)

จริงครับที่หนังเรื่องนี้ไม่ดีเด่สมบูรณ์แบบ แต่มันก็ลงตัวในแบบของมัน มีดาราดีๆ มารวมตัวกันและแสดงร่วมกันได้อย่างพอเหมาะ ตามด้วยพล็อตเรื่องที่อาจจะเดาได้ไม่ยาก และตอนจบที่ลงสูตรสำเร็จ แต่อาจเพราะระยะหลังๆ มานี้หนังพยายามฉีกสูตรสำเร็จกัน หนังจบแบบแฮ้ปปี้ก็ดูจะน้อยลงเรื่อยๆ บางทีการได้ดูหนังที่จบลงด้วยรอยยิ้มและความอบอุ่นแบบนี้ มันก็ดีเหมือนกัน

ผมไม่รับประกันว่าหนังเรื่องนี้จะถูกใจใครๆ น่ะนะครับ แต่มันถูกใจผม ดูแล้วยิ้มได้ จบแบบกินใจและประทับใจ และอีกส่วนหนึ่งที่ผมชอบก็คงเพราะหนังไม่ได้พยายามเน้นไปที่ความตลกจนเกินเหตุ มันฮาจากอารมณ์หนังและบรรยากาศ รวมถึงบทสนทนา ไม่ได้มีฮาแบบล้ำเส้นหรือห่ามเกินไป (หนังหลายเรื่องพยายามเน้นฮาจนล้น จนเสียกระบวน จนพล็อตรวนและทำให้หนังดูเบาหวิวเกินไป)

ผมคงเอามาดูซ้ำอีกถ้ามีโอกาสน่ะครับ สนุกดี… ผมว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดีนะครับยามเจอหนังที่ถูกใจ หนังที่เติมเต็มอะไรบางอย่าง เหมือนเจอเพื่อนที่รู้ใจเข้าโดยบังเอิญ ซึ่งมันคือเสน่ห์อย่างหนึ่งของการดูหนัง, อ่านหนังสือ, เดินทาง และอีกหลายๆ กิจกรรม

.. มันคือการค้นหาที่ไม่มีบทสรุปตายตัว (ว่าเราจะได้เจอของดีจากการค้นหานั้นหรือไม่) แต่มันก็สนุกที่ได้ค้นหา สนุกที่ได้ลองทำ และยิ่งถ้าเราได้เจอในสิ่งที่ตรงใจโดยไม่คาดฝันแล้ว มันจะเป็นหนึ่งในสิ่งเติมพลังที่ทำให้ช่วงเวลาที่เหลือของเราในวันนั้นๆ ดูดีขึ้นมาได้

นี่แหละครับ ประสบการณ์ของผม ที่มีต่อ Table 19 ^_^

สองดาวครึ่งครับ

Star22

(7/10)