
หนังเรื่องนี้ถือกำเนิดขึ้นโดยแรงผลักดันของ Richard Burton ครับ ประมาณว่าลูกเลี้ยงของเขาอยากเห็น Burton แสดงในหนังแอ็กชันผจญภัยย้อนยุคสักเรื่องหนึ่ง เขาเลยเอาไอเดียไปบอกกับผู้อำนวยการสร้าง Elliott Kastner แล้วจากนั้น Kastner ก็หมายมั่นจะให้ Alistair MacLean นักเขียนนิยายที่เคยมีผลงานดังๆ อย่าง The Guns of Navarone มาช่วยเขียนบทให้
แล้ว 6 สัปดาห์ต่อมา บทหนังเรื่องนี้ก็เสร็จออกมาครับ
ทีนี้พอได้บทมา ตอนแรก Burton ก็ลังเลว่าจะแสดงดีไหม เพราะจริงๆ เขาไม่ชอบเล่นหนังสงคราม แต่สุดท้ายเขาก็ตกลงเพราะหนังสงครามนั้นกำลังกระแสแรง และมีโอกาสทำเงินแน่ๆ (เพราะหนังของเขาล่มติดต่อกันมาหลายเรื่องแล้วนั่นเอง) และผลลัพธ์ที่ได้ก็จัดว่าประสบความสำเร็จครับ เพราะหนังทุน $7 ล้านเรื่องนี้ทำเงินไป $21 ล้าน และได้รับการบันทึกว่าเป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จชิ้นสุดท้ายของ Burton (เพราะหลังจากนั้นหนังของเขาก็ล่มต่อเนื่องเหมือนเดิม)
ตัวเอกของเรื่องคือผู้พันสมิธ (Burton) ที่นำทหารกลุ่มหนึ่งไปปฏิบัติการช่วยนายพลชาวอเมริกันคนหนึ่งที่โดนทหารนาซีจับตัวไป และปฏิบัติการที่ว่านี่ก็ออกแนว Mission Impossible น่ะครับ ทั้งยากและอันตราย ต้องแฝงตัวเข้าไปอยู่ใจกลางฐานของพวกนาซีและหาทางรอดกลับออกมา ท่ามกลางสถานการณ์ที่พร้อมจะพลิกผันได้ทุกเมืิ่อ
ตัวหนังจัดว่าสนุกเลยล่ะครับ โอเค ช่วงต้นๆ ของหนังอาจจะเรื่อยๆ อยู่บ้าง ซึ่งหนังสมัยก่อนก็มักจะเป็นแบบนี้น่ะครับ ประมาณครึ่งชั่วโมงแรกการเดินเรื่องจะเรื่อยๆ จนถ้าใครอยากดูอะไรที่มันเร็วๆ ก็อาจจะเบื่อและเลิกดูไปก่อนก็ได้ แต่อยากให้ทำใจรับความเนิ่บช้าสักหน่อยครับ เพราะความสนุกมันอยู่ตอนหลังๆ
ผมว่าหนังสมัยก่อนการเล่าเรื่องมักจะมาในแนวไต่ระดับน่ะครับ ความพีคมันจะอยู่ตอนท้ายๆ ดังนั้นเพื่อให้ความพีคตอนท้ายมันเด่น ก็เลยต้องทำให้ตอนต้นๆ มันออกแนวเรื่อยๆ ก่อน แล้วค่อยเล่าเรื่องแบบไล่ระดับความตื่นเต้น ซึ่งหนังเรื่องนี้ออกแนวนั้นครับ ตอนต้นเรื่อยๆ พอมาตอนกลางก็เริ่มมีปมมีอะไรให้ติดตามมากขึ้น ก่อนตอนท้ายจะบู๊สาดกระสุนกันแบบจัดเต็ม
จุดเด่นของหนังยกให้การแสดงของ Burton ที่รับบทเป็นผู้นำปฏิบัติการที่ฉลาดล้ำ เป็นเหมือนบอนด์ในร่างทหารกำยำน่ะครับ มีไหวพริบในการเอาตัวรอด และหนังได้ทิ้งปมเกี่ยวกับหนอนบ่อนไส้ลงมาตั้งแต่ต้น ซึ่งเขาก็ต้องใช้ความฉลาดในการเค้นให้หนอนที่ว่าเผยตัวเองออกมา และระหว่างที่มันยังไม่เผยตัว เขาก็ต้องระวังหลังด้วย อะไรเหล่านี้ทำให้คาแรคเตอร์ผู้พันสมิธดูเด่นมากทีเดียว
ในขณะที่ Clint Eastwood รับบทแชฟเฟอร์ นายทหารอเมริกันที่ไปร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย บทของเขาก็ถือว่าเป็นผู้ช่วยของสมิธน่ะครับ เป็นฝ่ายลุย ซึ่งก็อาจจะไม่เด่นแบบหนังเรื่องอื่นๆ และไม่เด่นแบบ Burton แต่ก็ถือว่าไม่เลว และได้มีการบันทึกไว้ว่าบทแชฟเฟอร์นี้คือตัวละครที่ Eastwood ต้องลงมือสังหารคนมากกว่าตัวละครในหนังเรื่องอื่นๆ ของเขาเสียอีก (ก็แหงละครับ เหตุเกิดในสงคราม และยังไปถล่มฐานของนาซีด้วย คนเลยตายเพียบ)

ในหนังยังมีดาราสาวๆ (ในสมัยนั้น) อย่าง Mary Ure และ Ingrid Pitt ร่วมแสดงด้วยครับ ซึ่งก็ขโมยซีนไปได้พอสมควร เพราะหนังเต็มไป้ดวยตัวละครหนุ่มๆ ทั้งนั้น
ช่วงต้นก็เรื่อยๆ ครับ แต่พอมีการทิ้งปมให้สมิธระมัดระวังหนอนบ่อนไส้ หนังก็เริ่มน่าสนใจขึ้น แล้วพอถึงเวลาต้องบุกฐานพวกนาซีก็มีอะไรให้ลุ้นกันเยอะอยู่ ที่ผมชอบเลยคือฉากตรงกระเช้าลอยฟ้าน่ะครับ ทำออกมาได้ลุ้นดี แล้วก็ไปลุ้นกันอีกรอบตอนไคลแม็กซ์ที่มีอะไรที่คาดไม่ถึงรออยู่ ยอมรับเลยครับว่าช่วงหลังๆ นี่ตีคะแนนทำให้หนังเรื่องนี้ดูสนุกมากขึ้นกว่าที่คาดไว้เยอะเลย
หนังกำกับโดย Brian G. Hutton ที่ถือว่าคุมหนังเรื่องนี้ได้ดีไม่น้อยครับ ตัวหนังถือว่าสนุก แม้จะมีช่วงอืดๆ ตามสไตล์หนังเก่าบ้าง แต่ด้วยดารา ด้วยเนื้อเรื่อง และฉากแอ็กชันต่างๆ ทำให้ Where Eagles Dare เป็นหนังแอ็กชันสงครามที่สนุกควรค่าแก่การชมครับ
สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ

(7.5/10)
หมวดหมู่:Action, Adventure, Movie Reviews, Recommended Movies, War










