รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

The Hangover Part II (2011) เดอะ แฮงค์โอเวอร์ ภาค 2

hangover_part_ii_ver2

การกลับมาของเหล่าเพื่อจอมแฮงค์ที่คราวนี้สตู (Ed Helms) กำลังจะแต่งงานอีกครั้งกับลอเรน (Jamie Chung) สาวน้อยสุดน่ารัก ซึ่งงานแต่งก็มาจัดกันที่เมืองไทยครับ และคืนก่อนแต่งก็ดันมีเรื่องให้ก๊วนนี้แฮงค์กันอีกรอบตามระเบียบ แล้วแฮงค์ไม่แฮงค์เปล่าครับ พวกเขายังทำน้องชายเจ้าสาวหายไปอีกด้วย งานนี้พวกเขาเลยต้องหาทางไขปริศนาให้ทันว่าเมื่อคืนนี้ไปทำอะไรกันมาบ้าง ก่อนงานแต่งจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ถึง 24 ชั่วโมง

คนชอบภาคแรกน่าจะเพลินกับภาคนี้น่ะครับ ยังคงเอาฮา ดูก๊วนนี้ออกลวดลายตามสืบปมความบ้าของตัวเองตอนเมา ยังจุดว่าดูได้แบบเรื่อยๆ แต่ก็ต้องออกตัวก่อนน่ะครับว่าผมนั้นก็ไม่ได้ติดใจภาคแรกเป็นพิเศษอยู่แล้ว ภาคนี้ก็เลยอยู่ในระดับดูได้ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรอีกเหมือนกัน

ระหว่างดูก็ได้แต่แอบสงสัยนิดๆ เหมือนกันว่าหนังน่าจะตัดเนื้อหาอะไรออกไปเยอะ อย่างเรื่องน้องชายเจ้าสาวที่น่าจะมีปมอะไรบ้าง เพราะตอนแรกหนังแนะนำรายละเอียดเยอะครับ ว่าน้องชายเจ้าสาวจะเป็นศัลยแพทย์ และยังเป็นนักดนตรีที่พ่อภูมิใจด้วย ดังนั้นจริงๆ การเกิดเรื่องกับ “นิ้ว” นั้นน่าจะมีผลอะไรบางอย่าง แต่หนังก็เล่าแบบผ่านมาผ่านไปจนงงเหมือนกันว่า “เฮ้ย นิ้วนะเฮ้ย ไม่ใช่กุญแจ ทำไมไม่มีใครเห็นว่าสำคัญเลยล่ะ”

หรือเรื่องพ่อตาของสตู (ที่แสดงโดย คุณอานิรุตติ์ ศิริจรรยา) ที่ทำท่าไม่ชอบสตูอย่างแรง บ่นสารพัด ขนาดตอนดื่มอวยพรยังมีการกัดเลย แต่จู่ๆ ตอนท้ายเมื่อได้เวลาหนังจบก็สามารถสงบศึกกับสตูได้ในเวลาอันสั้น ทั้งที่พี่ท่านกับผองเพื่อนเพิ่งก่อเรื่องมา อีกทั้งยังทำให้ลูกของเขา “เกิดเรื่องกับนิ้ว” อีก เลยงงหนักเลยครับว่าทำไมมันเล่นง่ายกันจัง แอบเสียดายฝีมือของอานิรุตติ์เหมือนกันนะครับ เพราะเรื่องแสดงเป็นพ่อเนี่ย สุดยอดมาไม่รู้กี่เรื่องแล้ว (สงสัยทีมงานคงไม่รู้ล่ะกระมังว่าได้ดาราเจ้าบทบาทของบ้านเราไปอยู่ในมือน่ะ)

อดคิดไม่ได้ว่าจริงๆ ถ้าหนังใส่ประเด็นน่าสนใจเหล่านี้มา (ปมน้องชายเจ้าสาวกับการเลือกอนาคตของเขา, ปมพ่อตาไม่ชอบลูกเขย ไหนจะปมการโหยหาวัยเด็กของอลันอีก) หนังอาจมีอะไรมากกว่านี้ก็ได้

โดยส่วนตัวผมชอบภาคแรกมากกว่าตรงที่หนังไม่ได้มีแค่เรื่องก๊วนหนุ่มพากันไปแฮงค์อย่างเดียว แต่ทริปป่วนรอบนั้นยังทำให้พวกเขาเข้าใจชีวิตกันมากขึ้น อย่างสตูนี่ถึงขั้นประกาศอิสรภาพ ค้นพบตัวตนเลยว่าจะไม่ยอมลงยอมแพ้ให้กับคู่หมั้นจอมเอาแต่ใจอีกต่อไป แต่กับภาคนี้จริงๆ ประเด็นที่โปรยไว้มีเยอะ สงสัยคงโดนเฉือนออกในห้องตัดต่อ เพื่อใส่แต่เรื่องวุ่นๆ ให้หนักๆ ล่ะกระมัง

แต่คิดในอีกแง่หนึ่ง… หนังคงตั้งใจจะทำให้คนดูเกิดอาการแฮงค์มากกว่าจะได้สาระน่ะครับ คิดแบบนี้ก็พอทำใจรับได้

สำหรับคนไทยอย่างเราๆ พอดูก็อดคิดไม่ได้ว่าฝรั่งคงมองเมืองบางกอกของเราในมุมค่อนไปทางลบเหมือนกัน ถึงกับเอาคำว่า “Bangkok Has Him” มาใช้บ่อยๆ ความหมายก็ประมาณว่า “คนที่มาที่นี่ มักจะโดนกรุงเทพกลืนไปแล้ว” เห็นพูดบ่อยมากจนสะท้อนมุมมองของเขาได้ ก็ชวนให้มองตรวจสอบตัวเองเหมือนกันนะครับชาวไทย ว่าเราควรทำอะไรบางอย่างเพื่อขยับปรับภาพพจน์เรากันหรือยัง

ระหว่างดูเกิดความคิดอยากทำหนัง The Hangover แบบไทยๆ บ้าง แทนที่จะพาคนดูไปสู่ด้านมืดของไทยอย่างเดียว (สังเกตสิครับ ฉากในเรื่องมีแต่แหล่งเสื่อมโทรม บางฉากนึกว่าเป็นอินเดียเลยล่ะนั่น) แต่พาไปค้นหาตัวตนจากทั้งด้านมืดและด้านบวกของกรุงเทพ (หรือเมืองไทย) ก็น่าจะดี แต่กับเรื่องนี้ก็เข้าใจล่ะครับ หนังว่าด้วยการพากันไปเมาและเล่นยา จะให้เดินเรื่องเข้าวัดเข้าวาหรือสวนสาธารณะก็คงไม่เข้ากันเท่าไร

แต่อยากให้คนไทยลองดูนะครับ พล็อตหนังสนุกๆ ผสมสาระและนำเอาด้านดีๆ ของไทยมาพูดบ้าง ผมว่าก็ไม่เลวนะ

The Hangover Part II ก็ถือเป็นหนังฮาที่ดูเอาสนุกน่ะครับ ดาราก็เล่นบทเดิมได้คล่องกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะ Bradley Cooper ในบท ฟิล คนที่ดูจะมีสติที่สุดในกลุ่ม (แต่ก็เมามันทุกที), Helms ในบท สตูที่แข็งบ้างหงอบ้างตามสไตล์เดิม, Zach Galifianakis กับบท อลัน ตัวก่อเรื่องประจำภาคที่ดูๆ ก็น่ารำคาญแต่ก็รำคาญเขาไม่ลงเหมือนกัน ส่วน Justin Bartha ก็มาเล่นเหมือนบทสมทบเช่นเคยครับ แต่รายที่ออกจะเด่นเยอะหน่อยก็ยกให้ Ken Jeong ที่มาสมทบบทเฮียโจวได้บ้ามากๆ ตามเคย

การดูหนังเรื่องนี้ ผมอยากให้เราดูแล้วตระหนักนะครับว่าการเมานั้นมันอาจทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตได้ มันไม่ได้นำมาซึ่งเรื่องดีๆ หรอกครับ และบางทีก็ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ใช่การพักผ่อนที่เข้าท่าเลยครับ พักแล้วร่างกายโทรม ผ่อนแล้วร่างกายล้า ถ้าเป็นไปได้ลองพักลองฉลองด้วยวิธีอื่นๆ ดูบ้างเถอะครับ แล้วคุณจะพบว่าความสุขจริงๆ มันไม่ได้ขึ้นกับดีกรีแอลกอฮอล์ในเลือดเลย แต่มันอยู่ที่ดีกรี “ในใจ” เรามากกว่า

ยังไงก็ยกเครดิตให้ Todd Phillips ครับ ทำหนังแนวนี้ได้เพลินดีเสมอ ผมชอบแกมาตั้งแต่ Road Trip แล้วล่ะครับ มาเรื่องนี้ก็ยังอร่อยพอตัว เพียงแต่อาจจะไม่ใช่ทางผมสักเท่าไร ความชอบเลยไม่ถึงกับมาก

สรุปว่าดูได้เพลินๆ ไม่ผิดหวัง

สองดาวกว่าครับ

Star21

(6.5/10)