รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

John Carpenter’s The Thing (1982) ไอ้ตัวเขมือบโลก

TheThing1982

จำได้ว่าตอนที่ The Thing ฉบับสร้างใหม่เข้าฉาย มีคนรีเควสท์ให้ผมรีวิว The Thing ปี 1982 เยอะมาก ไม่ใช่เยอะธรรมดา เยอะถึงขนาดผมเข้า Google แล้วใส่คำว่า “10000tip” ลงไป มันจะต่อท้ายออโต้ให้เลยว่า “The Thing”

ยอมรับเลยครับว่าตอนนั้นนึกไม่ออกว่าจะเขียนยังไง (แอบกดดันอยู่ลึกๆ กลัวเขียนแล้วไม่มีสาระประเด็น 555) แต่ตอนนี้ไม่คิดมาก เขียนเท่าที่นึกออกก็แล้วกันนะครับ

The Thing เคยสร้างเป็นภาพยนตร์แล้วหนึ่งรอบเมื่อปี 1951 โดยดัดแปลงจากนิยายขนาดสั้นเรื่อง Who Goes There? ของ John W. Campbell ซึ่งหนังฉบับนั้นก็ทำได้คลาสสิกทีเดียวครับสำหรับหนังขาวดำแนวมนุษย์ต่างดาวรุกรานโลก แม้ความสยองอาจไม่เยอะมาก แต่ความตื่นเต้นก็ถือว่าใช้ได้ อีกทั้งยังสอดแทรกประเด็นการเมืองอีกทั้งมุมมองที่คนทั่วไปมีต่อนักวิทยาศาสตร์ในยุคนั้นลงไปแบบพอเหมาะอีกด้วย

พอมาถึงปลายยุค 70 ด้วยความดังมหาศาลของ Star Wars และ Alien ทำให้หนังไซไฟกลับมาคึกคักอีกครั้ง โปรเจคท์เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวและอวกาศจึงผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ทีนี้ Lawrence Turman และ David Foster 2 ผู้อำนวยการสร้างก็สนใจจะรีเมกหน้งเรื่องนี้ขึ้นมาครับ โดย Bill Lancaster (บุตรชายของ Burt Lancaster) เป็นผู้นำเอานิยายต้นฉบับมาดัดแปลงเป็นบทหนัง ซึ่งเขาตั้งใจเขียนบทออกมาให้ซื่อตรงกับนิยายมากที่สุด และยังตั้งใจจะให้มันสยองเข้มข้นกว่าเก่า

นอกจากนี้ Lancaster ยังใช้รายละเอียดบางอย่างในนิยายมาสร้างบรรยากาศกดดันให้กับหนัง เช่น พื้นที่ปิดล้อม, ความที่ไม่มีใครสามารถไว้ใจใครได้ ฯลฯ ซึ่งในนิยายไม่ค่อยเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้ประโยชน์ในการสร้างความตื่นเต้นให้กับเรื่องราวเท่าที่ควร

1387123205

ด้านผู้กำกับนั้น Foster เล่าว่า John Carpenter คือตัวเลือกหมายเลข 1 ของเขามาแต่ต้น แม้จะมีข่าวลือมาว่า Tobe Hooper ก็หมายตาจะทำหนังเรื่องนี้เหมือนกันก็ตาม แต่ทางโต้โผของค่าย Universal Pictures ที่เป็นคนออกทุนอยากได้ Carpenter มากกว่า หลังจากหนังสยองขวัญ Halloween ของลุง John Carpenter สามารถทำเงินไปได้ถึง $47 ล้านโดยที่ทุนสร้างเพียงแค่ $375,000 เท่านั้น

นอกจากนี้แรงถีบสำคัญที่ทำให้ Universal เลือกลุง John ในบัดดล คือลุง John แกพรีเซนต์ว่าจะสร้างหนังออกมาแนวไหน โดยใช้ฉาก “ทดสอบเลือด” เป็นฉากหลักในการนำเสนอครับ ซึ่งฉากที่ว่านี้เป็นยังไงเดี๋ยวเรามาคุยกัน แต่เอาเป็นว่า Universal เลือกลุง John ทันทีที่เขาบรรยายฉากที่ว่านี่เสร็จ

เรื่องในหนังฉบับนี้เปิดมาก็สร้างความสนใจได้ตั้งแต่ต้นครับ เราจะได้เห็นคนขับเฮลิคอปเตอร์กำลังไล่ยิงสุนัขตัวหนึ่งกลางทุ่งน้ำแข็งเวิ้งว้าง ก่อนที่เจ้าสุนัขตัวนั้นจะตรงไปอยู่ในแคมป์ของนักวิจัยกลุ่มหนึ่ง โดยบทลงเอยของการไล่ล่าครั้งนี้คือคนบนฮอเสียชีวิตทั้งหมด ส่วนเจ้าสุนัขนั่นก็กลายเป็นสมาชิกใหม่ของแคมป์แห่งนี้

ท่ามกลางความสงสัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม็คเรดี้ (Kurt Russell) หนึ่งในทีมวิจัยก็ตัดสินใจเดินทางไปค้นหาว่าพวกที่ไล่ยิงสุนัขนั้นเป็นใครมาจากไหน และเมื่อเขาไปถึงแคมป์ของพวกนั้นก็พบแต่ซากปรักหักพัง ประหนึ่งว่าแคมป์เพิ่งผ่านสงครามนองเลือดครั้งใหญ่มาหมาดๆ และยังพบก้อนน้ำแข็งมหึมาที่ดูเหมือนจะมีอะไรเคยอยู่ในนั้นมาก่อน แต่ปัญหาคือเขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร เนื่องจากเจ้าสิ่งนั้นได้ถูกนำออกจากน้ำแข็งแล้ว

พอแม็คเรดี้กลับมาถึงแคมป์ เขาก็ต้องเผชิญกับความสยองเมื่อเจ้าสุนัขนั้นแผลงฤทธิ์ให้ทุกคนเห็นว่ามันไม่ใช่สุนัขแน่นอน แต่มันคือสิ่งมีชีวิตสุดสยองที่สามารถกลืนกินร่างทุกร่างที่มันสัมผัส และยังสามารถเลียนแบบร่างเหล่านั้นได้อีกด้วย

นั่นล่ะครับพล็อตเรื่องหลักๆ ของ The Thing

1387123244

จำได้ว่ารอบแรกที่ผมดูหนังเรื่องนี้ผมดูด้วยเหตุด้วยสำคัญคือได้ยิน อาตีตั๋ว นักวิจารณ์ที่ผมชื่นชอบเขาเขียนลงในรีวิวบ่อยๆ โดยเฉพาะตอนที่อาเขาตีตั๋วหนังของลุง John Carpenter อามักลงท้ายก่อนให้ดาวว่า “ถ้าอยากดูหนังสยองดีๆ ของ Carpenter ให้เอา The Thing มาดูสิ” พอได้ยินบ่อยๆ ก็หามาดูครับ เป็นฉบับวีดีโอของ CVD สมัยนั้นพี่จักรกฤษณ์พากย์ด้วย พอดูเท่านั้นล่ะครับถึงแก่ความ “สยอง” เพราะหนังมันสยองได้ใจอะไรจะปานจริงๆ

The Thing ถือเป็นงานหนังสยองที่ครบเครื่องมากๆ เรื่องหนึ่งครับ ตั้งแต่สยองแบบ “กินบรรยากาศ” ที่หนังค่อยๆ ทำให้แคมป์ของเหล่านักวิจัยกลายเป็นเสมือนลานประหารหรือบ้านผีสิงหลังใหญ่ที่น่ากลัวมากขึ้นทุกขณะ ดูไปก็ระแวงไปว่าไอ้หลืบตรงนั้นจะมีอะไรสยองๆ รอเราอยู่ไหม หรือขณะที่มีตัวละครเดินอยู่ในทางแคบๆ นั้นจะมีตัวประหลาดโดดมาขย้ำหรือเปล่า คือมันได้บรรยากาศสยองคละคลุ้งไปหมดทั่วแคมป์เลยครับ

หรือจะสยองแบบ “กดดัน” หนังก็มีพร้อมเสิร์ฟครับ เพราะไอ้ตัวร้ายนั่นสามารถแปลงร่างเป็นใครก็ได้ นั่นทำให้ทุกคนในแคมป์เมื่อทราบเรื่องแล้ว ไม่มีใครไว้ใจใครอีก เรื่องราวจึงดำเนินไปท่ามกลางความหวาดระแวงที่มีมากขึ้นทุกขณะ อารมณ์กดดันแบบนี้แหละครับที่ทำให้ความสยองมันเพิ่มขึ้น เพราะคนดูเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวละครตรงหน้ามันคือไอ้ตัวนั่นแปลมาหรือเปล่า และมันจะเขมือบใครแบบที่เราคาดไม่ถึงอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ซึ่งหนังทำอารมณ์แบบนี้ได้สำเร็จมากๆ

และที่ขาดไม่ได้คือสยองแบบ “แหวะๆ” ครับ อันนี้จัดเต็มมาก แต่ละฉากนี่ติดตาสุดๆ ไม่ว่าจะในคอกหมา, ตอนไอ้ตัวนั่นพยายามกลืนร่างคน หรือตอนมันถูกเปิดเผยตัว คือมันแหวะ สยอง เลือดสาด น่าหวาดผวาและบางคนอารู้สึกแหยงไปเลยด้วยครับ คือ Make Up Effect ทำได้ถึงมาก ซึ่งต้องขอชม Rob Bottin เลยครับ พี่แกสร้างสรรค์ความสยองแหวะๆ ให้หนังเรื่องนี้ได้มากจริงๆ กล่าวกันว่าทีมงานของเขานี่มีกว่า 40 คนเลยล่ะครับ (หนึ่งในนั้นก็มี Stan Winston ด้วย) ช่วยกันสร้างและเนรมิตฉากตอนที่ไอ้ตัวร้ายนั่นอาละวาด ให้มีความสมจริงมากที่สุด ซึ่งมันก็สมจริงจริงๆ นั่นแหละครับ

อันว่าฉากสยองแหวะที่ลือลั่นสุดๆ ก็ต้องยกให้ฉาก “ทดสอบเลือด” ที่ผมเกริ่นไปทีแรก ฉากที่ว่านี้เริ่มจากแม็คเรดี้มีความคิดขึ้นมาว่า เจ้าตัวประหลาดนี่มีสัญชาตญาณปกป้องตัวเองในทุกอณูของมัน ดังนั้นถ้าเราเอาเลือดของทุกคนมาตรวจ โดยการเอาเหล็กลนไฟร้อนๆ เข้าไปจี้ หากเป็นเลือดคนทั่วไปมันก็จะไม่มีอะไร แต่ถ้าเป็นเลือดที่มีเชื้อไอ้ตัวนั่นแหละล่ะก็ เลือดมันต้องแผลงฤทธิ์ ทำให้แม็คเรดี้ขอให้ทุกคนกรีดเลือด แล้วก็จี้เหล็กลนไฟทีละคน… พอจะนึกออกใช่ไหมครับว่านาทีที่เลือดของตัวละครหนึ่งปกป้องตัวเองขึ้นมา พร้อมๆ กับที่ตัวละครนั้นเริ่มแปลงร่างเป็น “ไอ้ตัวนั่น” วาระนั้นมันจะนรกแตกแค่ไหน

พอดูฉากนี้แล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Universal ยกเก้าอี้กำกับให้ลุง John แกทันที

1387123280

หนังจัดว่าสยองแบบครอบจักรวาลครับ บรรยากาศก็น่ากลัว ความไม่น่าไว้ใจแผ่ไปทั่ว และความสยองแบบเลือดสาด แหวะเหวอะ เรียกว่าคุณต้องรู้สึกสยองเอาสักอย่างนั่นแหละ

ความดีความชอบก็ต้องยกให้ทีมงานทุกคนครับที่ช่วนกันเนรมิตหนังสยองเรื่องนี้ออกมาให้ลงตัวยอดเยี่ยมขนาดนี้ แน่นอนว่าลุง John Carpenter แกเก่งครับ คุมหนังเรื่องนี้ได้อยู่ ผลที่ได้ออกมาก็สยองสุดๆ ดาราทุกคนก็แสดงกันได้พอเหมาะพอดี สร้างอารมณ์น่ากลัวกดดันได้อย่างน่าพอใจ แล้วยังได้ดนตรีขลังๆ ของ Ennio Morricone ที่ให้อารมณ์ “สยอง” บนพื้นที่รกร้างห่างไกลได้แบบได้ใจสุดๆ จริงๆ

ครับ หนังออกมาเลิศ แต่ตอนออกฉายนั้นหนังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรครับ ลงทุนไปประมาณ $15 ล้านซึ่งถือเป็นหนังทุนสูงเรื่องแรกของลุง John และยังเป็นหนังที่เขาทำงานภายใต้สตูดิโอใหญ่ๆ เป็นครั้งแรกอีกด้วย แต่รายได้ที่คืนมาคือประมาณ $19 ล้าน ซึ่งหลายเสียงเห็นตรงกันว่า คงเพราะช่วงนั้นคนดูอยากดูหนังไซไฟมนุษย์ต่างดาวแบบที่ได้เห็นมนุษย์ต่างดาวแสนดีมากกว่า อย่างเรื่อง E.T. the Extra-Terrestrial ที่ฉายก่อน The Thing ประมาณ 2 สัปดาห์เป็นต้น ซึ่งประเด็นนี้จะว่าไปก็มีมูลครับ เพราะสัปดาห์ที่ The Thing ฉายนั้นก็มีหนังไซไฟแนวหม่นมืดอีกเรื่องเข้าฉายเหมือนกัน นั่นก็คือ Blade Runner ที่ชะตากรรมลงเอยก็ไม่ต่างกันเท่าไร ลงทุนไป $28 ล้าน ได้คืนมาราว $32 ล้านเท่านั้น

ชะตากรรมที่เหมือนกันอีกอย่างก็คือ ต้องรอจนหลายสิบปีให้หลัง หนังถึงค่อยมาได้รับการยกย่องชื่นชม จนตอนนี้ทั้ง The Thing และ Blade Runner กลายเป็นหนังไซไฟติดอันดับที่คนชื่นชอบ แซงหน้าคะแนนนิยมของ E.T. ไปด้วยซ้ำ

โดยสรุปแล้ว นี่คือหนังสยองระดับตำนานที่สามารถไปยืนใกล้ๆ กับAlien ได้แบบไม่ต้องเก้อเขินเลยครับ แนวทางคล้ายกันเลย ความสยองตื่นเต้นและยอดเยี่ยมก็ไล่ๆ กัน ไม่ผิดหวังแน่นอนสำหรับคอหนังแนวนี้

มีเกร็ดเล็กๆ ที่สปอยล์หนังแน่นอนจะบอกครับ หากไม่อยากทราบให้ข้ามไปอ่านบรรทัดสรุปดาวเลยนะครับ

ในตอนจบของเรื่อง จะเหลือตัวละครเพียง 2 ตัวในแคมป์ที่กำลังลุกเป็นไฟนั่น คนหนึ่งคือแม็คเรดี้ตัวเอกของเรื่อง อีกคนคือไชลด์ส ที่รับบทโดย Keith David โดยพวกเขาจะนั่งลงคุยกัน ท่าทางต่างฝ่ายต่างก็ไม่ไว้ใจกัน ก่อนหนังจะจบลงค้างๆ คาๆ อย่างนั้นให้คนดูไปสงสัยเอาเองว่าหนึ่งในสองคนนี้ มีใครเป็นไอ้ตัวนั่นหรือเปล่า?

แล้วในที่สุด ลุง John Carpenter ก็เฉลยครับว่า “จริงๆ มันชัดอยู่แล้วนะครับ เพราะคุณจะเห็นได้ว่าแม็คเรดี้หายใจอยู่ แต่ไชลด์สไม่หายใจเลย” ซึ่งหากท่านไปชมฉากจบของหนัง ท่านจะเห็นแม็คเรดี้หายใจไอเย็นขึ้น ควันออกปากทุกครั้งที่พูดไม่ว่าจะพูดดังพูดเบาก็ตาม แต่ไชลด์สไม่ว่าจะพูดหรือทำอะไร ก็ไม่มีควันเกิดขึ้นแม้แต่นิดเดียว…

ขนาดฉากจบยังต้องอาศัยการสังเกตเลยครับ ว่าตกลงอะไรเป็นอะไร ลุง John ครับ ลุงแน่มาก

และนี่ถือเป็นหนังเรื่องแรกของ Apocalypse Trilogy (หนังไตรภาคว่าด้วยวันสิ้นโลก) ของลุง John ครับ อีก 2 เรื่องก็คือ Prince of Darkness และ In the Mouth of Madness ครับ

นี่แหละครับหนังสยองระดับตำนาน ที่คุ้มแค่แก่การดูทุกประการ

สามดาวเต็มครับ

Star31

(8/10)