ถือเป็นหนังรสชาติแปลกอีกเรื่องหนึ่ง คือโครงหลักๆ กับนักแสดงนำรวมไปถึงทีมงานที่ทำนั้นเป็นชาวฮอลลีวู้ด แต่เรื่องราวมันไปคาบเกี่ยวกับการผจญภัยสไตล์หนังจีนอภินิหารทำนองนั้น

ผมได้ดูเรื่องนี้ครั้งแรกทาง ITV Theatre เมื่อนานมาแล้ว และก็ติดใจรสชาติแปลกๆ ที่แม้จะยังไม่ลงตัวเข้าที่แต่ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย เลยพยายามหาดูอยู่นานทีเดียวครับ จน Catalyst ทำแผ่นออกมาก็เลยขอสัมผัสแบบทั้งเรื่องทั้งราวหน่อย

เนื้อหาว่าด้วยพระเอกผิวหมึก แชนด์เลอร์ จาร์เรลล์ (Eddie Murphy) หนุ่มจิตใจดี (แต่ปากไม่ค่อยมีหูรูด) ที่ทำงานเพื่อสังคม เช่นช่วยตามหาเด็กที่หายไปหรือสืบหาเบาะแสอาชญากร และคดีล่าสุดที่เขากำลังตามอยู่คือการหายตัวไปของเด็กหญิงหลายคน

การสืบสวนก็นำพาเขาไปพบกับเหล่าคนแปลกๆ อย่างตาเฒ่าอารมณ์ร้าย (Victor Wong) และคีแนง (Charlotte Lewis) หลานสาวของตาเฒ่า ทั้งสองได้บอกกล่าวกับเขาว่าขณะนี้ได้มีจอมมารร้ายที่มาในรูปของชายชื่อซาร์โด นัมสปาร์ (Charles Dance) กำลังเดินทางมาเพื่อหาทางสังหาร เด็กทองคำ (J.L. Reate) ผู้ซึ่งมีวิญญาณบริสุทธิ์และสามารถทำลายความชั่วทั้งมวลได้ และแน่นอนว่าหากเด็กทองคำยังอยู่ต่อไปก็ย่อมไม่เป็นผลดีกับซาร์โดแน่นอน พวกนั้นเลยตามล่าและหาทางปลิดชีพเด็ก แต่เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แชนด์เลอร์ก็ต้องออกโรงปกป้องครับ พร้อมทั้งหาทางนำเอา “กริชอาชันตี” ในตำนานธิเบตมาเพื่อต่อกรกับปีศาจอีกด้วย

ตัวหนังนั้นออกแนวอภินิหารแบบตะวันออก ซ้ำเรื่องราวตำนานเด็กทองคำต่างๆ ก็ผูกขึ้นมาจากตำนานตะวันออกด้วย ดังนั้นนอกจากพระเอกอย่าง Murphy ที่ตัวดำปื้อและเป็นตัวแทนชาวมะกันแล้ว คนอื่นๆ ก็มีกลิ่นอายจีนๆ ธิเบตๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะบุคคลผู้รู้ตำนานหรือเด็กทองคำที่หน้าตาก็บอกว่าตะวันออกแน่นอน สไตล์เรื่องจึงออกรสชาติแปลก ไม่เหมือนใครอยู่เหมือนกัน

แต่กระนั้นความกลมกล่อมก็ยังไม่กลมกลืน เล่ายังไม่ลื่นเต็มที่ พล็อตจริงๆ น่าสน เพราะมันก็เวอร์ๆ ออกแนวแฟนตาซีใช้ได้ ไม่ว่าจะเรื่องปีศาจมายังโลกเพื่อปลิดชีพเด็กในตำนานที่จะสามารถรักษาสมดุลย์ให้กับโลกทั้งใบได้ แล้วไหนจะมีการค้นหากริชในตำนานอีก ครบสูตรหนังผจญภัยจริงๆ… ทว่ามันก็ยังไม่สุด แค่ได้กลิ่นเท่านั้นเอง ยังไม่ค่อยเห็นภาพ คาดว่าสาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็น่าจะเพราะงาน Special Efffect ยุคนั้นยังไม่สามารถเนรมิตบางสิ่งบางอย่างได้ หรือต่อให้เนรมิตได้ก็ไม่เนี๊ยบเอาเสียเลย อย่างตอนท้ายที่ซาร์โดมาพร้อมร่างที่แท้จริงนั้น จริงๆ รูปกายมันต้องประมาณกากอยล์หรือไม่ก็มังกรยักษ์ไปเลย แต่นี่ด้วยเหตุที่เทคนิคทำได้จำกัด เราเลยเห็นมันบินแบบลิบๆ บ้างหรือพอมองใกล้ๆ ก็เห็นชัดว่าเป็นหุ่นชักบ้าง ความสมจริงและความสนุกเลยสะดุดไปกว่าครึ่ง

อีกทั้งการสืบนั้นก็ไม่ได้เร้าใจเต็มที่ การผจญภัยไปเอากริชจริงๆ ก็น่าจะตื่นเต้น เพราะแชนด์เลอร์ต้องลงไปยังถ้ำใต้ดิน เพื่อนำกริชมา หากหนังบรรจงใส่กับดักหรือฉากที่เปี่ยมจินตนาการแปลกตาลงไปสักหน่อยความเร้าใจคงไหลมาเทมาครับ แต่นี่ดูแล้วรู้สึกว่าทำไมมันไปเอากริชมาง่ายจัง ง่ายจนแทบไม่เหลือลุ้นใดๆ เลย แค่โดดข้ามแง่งหินไปเท่านั้นเอง

และที่ออกจะกลายเป็นส่วนเกินแบบกลายๆ คือการเน้นฮาอย่างเดียวของ Murphy น่ะครับ อะไรๆ ก็เล่นไปหมด บางเรื่องไม่ควรฮาก็ยังหาเรื่องฮาจนอารมณ์หนังที่แปลกอยู่แล้วต้องมาแปลกหนักกว่าเดิม แปลกที่ว่านี่คือไม่เข้ากันเท่าไรน่ะนะครับ แรกเริ่มเดิมทีเห็นเขาว่าจริงๆ หนังจะออกแนวดราม่าครับ แล้วก็จะให้ Mel Gibson มาแสดง และ John Carpenter กำกับ แต่ไปๆ มาๆ Gibson น่ะไม่ว่าง บทเลยมาตกอยู่ที่ Murphy แทน ส่วน Carpenter ก็โบกมืออำลาเช่นกัน จน Michael Ritchie ต้องมารับหน้าที่กำกับแทน

แล้วหลายปีต่อมา Carpenter ก็ได้กำกับหนังแนวคล้ายๆ กับเรื่องนี้ นั่นคือ Big Trouble in Little China ซึ่งออกมาสนุกสนานกว่ากันเยอะ ที่น่าชื่นชมเป็นพิเศษคือหนังเรื่องนั้นทำแบบตั้งใจครับ ตั้งใจนำพาผู้ชมเข้าไปสู่โลกแห่งตำนานจีนแม้จะไม่ถึงกับของแท้แต่ก็ได้รสจีน ได้สไตล์ตะวันออก และเหนืออื่นใดคือได้ความมันส์ ไว้มีโอกาสจะมาสาธยายให้ได้ทราบกัน

ส่วนเรื่องนี้ก็เป็นหนังมะริกันที่เอาพระเอกผิวหมึกไปผจญภัยกู้โลกจากมารร้ายสไตล์ตะวันออกและต้องปกป้องเด็กในตำนาน (นี่ก็สไตล์ตะวันออกอีกเช่นกัน) แต่น่าเสียดายที่หนังยังไม่เปี่ยมจินตนาการนัก อย่างที่บอกว่าได้มาแค่กลิ่นเท่านั้นเอง

สำหรับผมความน่าสนใจเลยหยุดอยู่แค่พล็อตกับฉากบางฉากเท่านั้นครับ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรให้ติดตา อ้อ และนางเอกครับ Charlotte Lewis รายนี้ผมว่าสวยแบบแปลกตาดีนะ แต่ไม่ใคร่จะได้เล่นหนังดังๆ สักเท่าไร น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน

ถ้าอยากดูหนังประเภทพระเอกมะริกันบุกไปสู้กับปีศาจในตำนานของจีนให้สนุกๆ และมีฉากแอ็กชันผจญภัยที่แสนจะเมามันส์และชวนฉงน… ขอแนะนำ Big Trouble in Little China รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวัง

ส่วนเรื่องนี้… ผ่านมาแล้วผ่านไป สองดาวครับ

(6/10)