สำหรับผู้ที่ไม่นิยมอ่านอะไรยืดยาวผมก็ขอสรุปสั้นๆ ให้ใน 3 ย่อหน้าถัดไปนะครับเรียกว่าอ่านแค่นี้ก็น่าจะเพียงพอ
“นี่คือหนังว่าด้วย “ความรัก” ที่รวมมิตรทั้งรักครั้งแรก รักหนุ่มสาว รักพ่อลูก รักพี่น้อง รักชีวิต รวมไปถึงรัก “แต่ละวัน” ที่คุณตื่นขึ้นมา
ผลที่ได้คือผมรักเรื่องนี้มาก จนอยากให้ทุกคนดูมันสักครั้ง ซึ่งผมไม่อาจรับประกันได้ว่าคุณจะรักมันหรือไม่ แต่มันจะน่าเสียดายอย่างที่สุดหากคุณพลาดโอกาสที่จะหาคำตอบนั้น และลึกๆ ผมเชื่อว่าคุณหลายคนจะรักมัน
นอกจากนี้หนังยังทำให้คุณมองเห็นเคล็ดลับแห่งการสร้างความสุข ให้คุณได้ลองนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันอีกด้วย”
เอาล่ะ ถึงจุดๆ นี้ถ้าอยากทราบดาวก็เลื่อนไปอ่านข้างล่างสุด และหากอยากอ่านรีวิวฉบับเต็มก็ย่อหน้าถัดไปได้เลยครับ อ้อ ต้องบอกไว้ก่อนตามระเบียบว่ามีการเปิดเผยเนื้อเรื่องแน่นอน
About Time ถือเป็น The Butterfly Effect ฉบับ Groundhog Day ครับ ว่าด้วยทิม (Domhnall Gleeson) เด็กหนุ่มที่ได้รู้ความลับแสนสำคัญจากพ่อ (Bill Nighy) ตอนเขาอายุ 21 ปี และความลับก็คือผู้ชายทุกคนของครอบครัวนี้สามารถย้อนเวลาได้ เพียงแค่หาที่มืดๆ ตั้งหลักตั้งจิตนึกย้อนไปในเวลาที่ต้องการก็เป็นอันเสร็จพิธี (แต่ต้องเป็นอดีตบนไทม์ไลน์ของตนเท่านั้น)
แล้วทิมก็ใช้พลังในการย้อนอดีตนี่แหละครับค้นหาความรัก อันทำให้เขาได้พบกับแมรี่ (Rachel McAdams) สาวสุดน่ารักที่เขาหมายมั่นจะใช้ชีวิตด้วย แต่นั่นเป็นเพียงหนึ่งในหลายเรื่องที่เขาได้เรียนรู้จากการย้อนเวลาครับ ทว่าจะมีเรื่องอะไรบ้างนั้นต้องไปดูกันต่อในหนังนะครับ
ด้วยความที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีเจตนาจะเป็นหนังไซไฟดังนั้นกฎการย้อนเวลาจึงอาจมีช่องโหว่บ้าง (หากจับจ้องกันดีๆ น่ะนะครับ) ซึ่งก็คล้ายๆ กับ Disney’s The Kid ของ Bruce Willis น่ะครับ ซึ่งหากจ้องแต่จะเอาเรื่องการย้อนเวลามาเป็นแก่นหลักเพียงอย่างเดียวก็อาจทำให้เราเป๋ไปจากสารดีๆ ที่ Richard Curtis ผู้เขียนบทและกำกับหนังเรื่องนี้พยายามจะสื่อ ซึ่งเอาเข้าจริงผมก็ไม่อาจบอกได้ว่าป๋า Richard แกตั้งใจสื่ออะไรบ้าง ผมบอกได้เพียงว่าผมได้อะไรจากหนังเรื่องนี้เท่านั้นเอง… และดูเหมือนผมจะได้มาไม่ใช่น้อยด้วย
ในแง่ภาพยนตร์หนังทำได้อบอุ่น น่ารัก ได้มาตรฐานตามสไตล์ป๋า Richard ที่เคยจับใจเรามาแล้วอย่างสมัยเขียนบทเรื่อง Four Weddings and a Funeral และ Notting Hill หรือตอนแกสำแดงฝีมือกำกับ Love Actually ด้วยตนเอง หนังดูแล้วมีความสุขครับ อุดมด้วยมุขตลกแบบอังกฤษ (ที่ไม่เน้น “ก๊ากก๊าก” คำโตๆ แต่จะออกแนว “หึหึ” ยิ้มมุมปาก แต่บางมุขก็ฮาแตกเกินคาด เช่น มุข “ผมไม่ได้ใช้ปากนะครับ” เป็นต้น) ถึงในแง่อารมณ์ซึ้ง อารมณ์รัก ความกินใจ และที่ถึงเสมอมาก็คือถึงในเรื่องบรรยากาศครับ
จุดเด่นอย่างยิ่งของหนังป๋า Richard คือได้เห็นบรรยากาศงามๆ ของอังกฤษในมุมต่างๆ และโทนอารมณ์ของแต่ละฉากป๋าแกก็คุมอยู่ทุกที และที่ผมยังทึ่งเสมอคือกระทั่งฉากในห้องหรือในบ้าน ก็ยังมีการเซ็ทให้มันเสริมอารมณ์เรื่องราวของฉากนั้นๆ ได้อย่างพอเหมาะอย่างแรง
อย่างฉากที่บ้านของพ่อแม่ทิมตอนที่พ่อของเขากำลังจะบอกถึงความลับเรื่องย้อนเวลา ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าในห้องนั้นหนังสือเยอะมาก ตั้งกองข้างกำแพงเต็มไปหมด แล้วช่วงต่อมาพอทิมรู้ความลับและทดลองใช้ เขาก็กลับมาหาพ่ออีกครั้งพร้อมสนทนาว่าพ่อมักย้อนเวลาไปทำอะไร พ่อของทิมตอบว่า “ก็ใช้มันอ่านหนังสือเล่มเดิม 2 – 3 รอบ” คือพอประโยคนี้ออกจากปากพ่อของทิมแล้วมันสอดรับแบบกำลังเหมาะเลยน่ะครับ
หรือฉากในห้องเวลาทิมกับแมรี่อยู่กันสองต่อสอง ผมว่าสภาพห้อง การเซ็ทแสงมันได้อารมณ์โรแมนซ์มาก ตอนอยู่กันสองต่อสองครั้งแรกก็อารมณ์หนึ่ง พออยู่ไปนานๆ ก็อีกอารมณ์หนึ่ง พอมีครอบครัวแล้ว มีลูกแล้วมันก็อีกอารมณ์หนึ่ง (สังเกตได้จากข้าวของบนโต๊ะข้างเตียงครับ มันบอกอะไรได้หลายอย่างมาก) และอย่างหน้าบ้านของเฮียแฮร์รี่ นักเขียนบทจอมหงุดหงิดนั่น ตรงหน้าบ้านก็จะมีต้นไม้ขึ้นสูงท่วมหัว ทำเป็นแนวราวกับกำแพงปิดกั้นปราการหนา เหมือนไม่สนใจและไม่แคร์โลกภายนอก นี่ก็สื่อถึงนิสัยใจคอเจ้าของบ้านได้เหมือนกัน
สังเกตหนังป๋า Richard แกมานานครับ สมัยแรกๆ ต้องมนต์หนังป๋าแกก็ได้แต่ทึ่ง หลังๆ เริ่มสนุกกับการสังเกตว่าทำไมเราถึงต้องมนต์หนังของป๋าแกจังเลย ก็พบว่าป๋าแกใส่ใจรายละเอียดดีครับ อันนี้ลองย้อนไปดู Love Actually ได้ บ้านแต่ละหลังมีโทนของตัวเอง และฉากแต่ละฉากที่ให้อารมณ์ประทับใจก็มักมีส่วนประกอบที่ลงตัวอยู่ในนั้น ไม่ของประกอบก็โทนสี หรือไม่ก็ระดับแสง เป็นต้น
บทป๋าแกก็เขียนครับ เขียนได้ดีทีเดียว น่าติดตาม มีอะไรคอยเสิร์ฟให้คนดูรู้สึกสนุกไปได้เรื่อยๆ ไม่เรื่องรักหวานๆ ก็รักพ่อลูก ไม่เรื่องขำๆ ก็เรื่องชีวิต ไม่ตรงเนื้อหาก็ตรงบรรยากาศในแต่ละฉาก ด้านดาราป๋าแกก็แม่นอีก อย่าง Bill Nighy นี่เหมาะกับบทพ่อของทิมแบบสุดๆ อย่างฉากที่เขาเอ่ยว่า “โอ… นี่ครั้งสุดท้ายแล้วรึ?” น้ำตาผมจะไหลให้ได้ หรือฉากดีๆ ที่เขายืนกรานว่าจะย้อนเวลาไปบอกรักทิมตอนอวยพรในงานแต่งนั่นก็อีก มันเป็นฉากง่ายๆ ที่สื่อได้อย่างงดงามว่าพ่อคนนี้ใส่ใจทุกช่วงเวลาของลูกมากขนาดไหน
McAdams ก็เหมาะเสมอครับกับบทสาวสวยอินดี้หน่อยๆ คล้ายๆ บทใน The Vow หรือ The Notebook ผมว่าในอนาคตต้องมีคนจับหนัง 3 เรื่องนี้แพ็คขายเป็นเซ็ทผลงานโรแมนติกของเธออย่างแน่นอน กับเรื่องนี้ก็ยังแสดงได้เยี่ยมเช่นเคยครับ, Margot Robbie ในบทชาร์ล็อตต์ รักแรก (หลังย้อนเวลาเป็น) ของทิม คนนี้ก็เหมาะกับบทเช่นกันครับ ดูเป็นสาวเปรี้ยว รักสนุก ซึ่งล่าสุดเธอก็มารับบทเป็นสาวร้อนประมาณเดียวกันใน The Wolf of Wall Street, Lydia Wilson สาวเซอร์อีกคนของอังกฤษมารับบทน้องสาวของทิม รายนี้ก็ดูลอยไปลอยมาได้เนียนดีแท้
Tom Hollander ที่เคยแสดงเป็นท่านลอร์ดคัตเลอร์ แบ็กเก็ตต์ได้แบบน่าหมั่นไส้สุดๆ ใน Pirates of the Caribbean ภาค 2 – 3 ก็ยังพกคาแรคเตอร์ยียวนจองหองแบบนั้นมาใส่ในบทแฮร์รี่ นักเขียนบทละครจอมหงุดหงิดได้อย่างถึงเครื่องอีก นี่ยังมี Richard Griffiths ผู้ล่วงลับและ Richard E. Grant มาแสดงรับเชิญอีกด้วย ซึ่ง 2 รายนี้ก็เล่นได้เหมาะเหม็งเช่นกัน
ส่วนบททิม พระเอกของเรื่องก็รับบทโดย Domhnall Gleeson ลูกชายของ Brendan Gleeson เจ้าของบท แมดอาย มู้ดดี้ในหนังชุด Harry Potter รายนี้ก็ถือว่าเอาอยู่ครับ อาจไม่ถึงกับแสดงได้สุดยอดเต็มร้อย แต่ผมว่าก็ไม่น้อยกว่า 70 ล่ะ อ้อ และสำหรับท่านที่คุ้นหน้าดาราหนุ่มคนนี้ก็ขอบอกว่าเขาเคยรับบทเป็นบิล วีสลี่ย์ พี่ชายของรอนใน Harry Potter 2 ภาคสุดท้ายด้วย
เพลงประกอบ (Sountrack) ก็เป็นของเด่นอีกประการครับ เลือกเพลงมาได้เข้ากับเรื่องราว จังหวะกลมกลืมกับท้องเรื่อง โดยเฉพาะเพลง How long will I love you ที่มาใน 2 เวอร์ชั่น เวอร์ชั่นแรกตอนกลางเรื่องร้องโดย Jon Boden อีกเวอร์ชั่นขับร้องโดย Ellie Goulding และอีกเพลงที่จับใจมากๆ คือ The Luckiest ของ Ben Folds ฉากนี้ก็ใส่ลงไปได้น่ารักมากๆ เหมือนกัน
ผมชื่นชมหนังเรื่องนี้เยอะ แต่มันก็ไม่ได้เป็นการบอกว่าหนังเรื่องนี้สมบูรณ์สุดยอดหรอกครับ เพราะหนังดี 100% หรือไร้ที่ติคงไม่มีในโลก เพราะความพอใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่บอกได้เพียงว่าผมรักหนังเรื่องนี้ และมัน “โดน” ใจผมอย่างแรง จนรู้สึกว่าจุดอ่อนหรือที่ติ (เช่น ความไม่สมเหตุผลบางประการในกฎการย้อนเวลา หรือความช้าเชื่องในบางจังหวะ) มันเป็นอะไรที่มองข้ามได้ ในความรู้สึกของผม
ใช่ครับ หาความเป็นกลางในรีวิวของผมได้ยาก โดยเฉพาะกับหนังเรื่องนี้
ในแง่ความเป็นหนัง About Time ถูกใจผมในหลายส่วนทั้งดารา เนื้อเรื่อง อารมณ์ บรรยากาศ ดนตรี เพลง การเล่าเรื่อง และการสรุปจบ แต่ส่วนที่จับใจผมยิ่งกว่าต้องยกให้สิ่งดีๆ ที่ผมได้จากหนัง คือพอดูแล้ว คิดตามแล้ว มันได้อะไรบางอย่างติดหัวมาน่ะครับ และนั่นทำให้ผมรักหนังเรื่องนี้ขึ้นมาเลย
อันที่จริงนี่เป็นหนังอีกเรื่องที่ชี้ชวนให้เราทบทวนแต่ละย่างก้าวของชีวิตนั่นแหละครับ แบบ Groundhog Day ที่สอนให้เรารู้จักใช้วันนี้ให้คุ้มค่า รู้จักใช้อดีตสอนตัวเองและสร้างอนาคตโดยใช้บทเรียนทั้งหลายเป็นเข็มทิศนำทาง ซึ่งในชีวิตจริงเราคงไม่ได้เจอวันจงกลมแบบฟิล ตัวเอกใน GD และไม่ได้มีพลังพิเศษประจำตระกูลแบบทิมในหนังเรื่องนี้ แต่สาระ แก่นประเด็น และแง่คิดที่ได้มา เราก็สามารถศึกษา ทำความเข้าใจ และนำมันไปปรับใช้ได้ โดยที่ไม่ต้องย้อนเวลาไปแก้ไขอะไรทั้งนั้น
ครับ แม้เราจะย้อนเวลาไม่ได้ แต่เราทำคล้ายๆ ทิมได้เสมอทุกเมื่อที่ต้องการ นั่นคือยืนในที่เงียบๆ หลับตา ตั้งสมาธิจดจ่อ และย้อนคิดใคร่ครวญถึงอดีต เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถตรวจสอบ เรียนรู้ ถอดรหัสคุณค่าและความหมายของช่วงเวลานั้นๆ อีกทั้งเก็บเกี่ยวบทเรียนชีวิตจากมันได้
อดีตมีไว้ให้เรียนรู้ครับ และเอาเข้าจริงแล้วทุกองค์ความรู้ในปัจจุบันล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์จากอดีต ไม่ว่าจะคณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ สังคม สุขศึกษา รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ นิติฯ หรือเกษตรฯ ทั้งหมดได้รับการบันทึก เรียนรู้ ต่อยอดจนมันงอกเงยพัฒนาขึ้น เช่นกันกับวิชาชีวิตครับ จริงที่ชีวิตใครก็ชีวิตมัน สูตรชีวิตเราและคนอื่นอาจต่างกัน เราอาจเอาสูตรสำเร็จของคนอื่นมาเป็นแนวทางเสมอไปไม่ได้ แต่เราก็ยังมีความสามารถที่จะทำความเข้าใจกับอดีตของตน ประสบการณ์ของตน และใช้สิ่งเหล่านี้มาสอน มาอัพเกรด มาพัฒนา มาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับชีวิตเราได้
จริงที่เราไม่อาจย้อนไปเปลี่ยนอดีตแบบทิม แต่เราใช้สิ่งที่เราเรียนรู้จากอดีตมาสร้างอนาคตได้
ผมชอบเคล็ดลับความสุขที่พ่อสอนทิมมากเลยครับ ที่สอนว่าหากวันไหนไม่ใช่วันที่ดีนัก ให้ทิมสนใช้เวลาจนหมดวัน จากนั้นก็ย้อนกลับไปแต่เริ่มแรกของวันอีกครั้ง เมื่อนั้นทิมก็จะรู้ว่าเขาจะเจออะไรบ้าง ที่ต้องทำก็แค่ตั้งรับมัน ทำใจเตรียมพร้อม ตามด้วยการควบคุมตนเองให้ตอบสนองต่อมันด้วยอารมณ์เชิงบวก เช่น โดนเจ้านายด่าก็เปลี่ยนให้เป็นเรื่องฮากับเพื่อนๆ ซะ เจอพนักงานร้านกาแฟที่หน้าตาบึ้งๆ ก็แค่ยิ้มให้เขามากๆ เพื่อเป็นการชวนให้เขายิ้มตอบซะ หรือหากเจอเรื่องที่ดี เราก็แค่ยินดีกับมันให้มากๆ สนุกกับมันให้เยอะๆ อย่าปล่อยให้ช่วงเวลาดีๆ นั้นผ่านไปแบบตายซาก แค่นี้วันที่เคยไม่ดีก็จะกลายเป็นอีกหนึ่งวันดีๆ ในความทรงจำไปได้ในที่สุด
ว่าแต่เราซึ่งย้อนเวลาไม่ได้ จะไปทำอะไรแบบนั้นได้ไหม? จะเชื่อไหมครับ ถ้าผมบอกว่า มันก็มีทางเป็นไปได้!
เราแก้อดีตไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ แต่เมื่อเราผ่านวันที่ไม่ดีมา ให้เราลองหาที่เงียบๆ นั่งหลับตา หรือจะทำก่อนนอนก็ได้ครับ นึกถึงภาพช่วงเวลานั้น นึกให้ชัดเจน ย้อนไปหาเวลานั้น จากนั้นก็ลองจินตนาการว่าหากเราแก้มันได้ เราเปลี่ยนสถานการณ์ได้ เราจะทำยังไง เช่น ถ้าเมื่อเช้าเราพบคนที่น่ารักถูกใจ แต่เราแสดงอาการป้ำเป๋อทำตัวตลกๆ ออกไปด้วยความประหม่า พูดพล่ามเยอะแยะจนทำให้ First Impression ล่มสลาย หากเราแก้ได้เราจะทำยังไง ก็ลองนึกภาพเลยครับ ว่าเราจะเปลี่ยนมันยังไง เช่น เราอาจพยายามใจเย็น โดยใช้การสูดลมหายใจให้ลึกๆ แบบพอเหมาะ (จะสูดฟืดฟาดต่อหน้าเขา เดี๋ยวโดนว่าหื่นอีก) ระหว่างสนทนาก็พูดให้น้อยลง โดยการโยนบทสนทนาเปิดให้เขาพูดมากกว่าเราพูด แล้วผันตัวเองเป็นผู้ฟังที่ดีแทน
หรือวันนี้เราอาจทะเลาะกับพ่อ กับแม่ กับแฟน หรือกับลูก ตามด้วยการทุ่มเถียงใส่อารมณ์ ยิ่งอีกฝ่ายเถียงมาของเราก็ยิ่งขึ้นก็เลยเถียงไปแรงกว่าเดิม ใช่ครับ มันไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีเลย… อ่ะ ไม่เป็นไร ลองนึกดูว่าถ้าเราแก้ได้ เราจะทำยังไง เราจะเป็นฝ่ายใจเย็นได้ไหม ลองนึกไปเลยครับว่าเราจะใจเย็น เราพยายามใช้เหตุผล บอกตัวเองเสมอว่า “อีกฝ่ายพูดด้วยอารมณ์ที่รุนแรงเท่านั้นน่ะ มันก็เหมือนตอนเราโกรธนั่นแหละ ตอนนั้นเราฟังใครที่ไหนเล่า” หรือไม่เราก็พยายามบอกให้อีกฝ่ายไปสงบใจก่อน เราก็จะได้สงบใจด้วยจากนั้นค่อยมาคุยกันใหม่ดีไหม ไปพักกันก่อน ฯลฯ นึกไปเลยครับ นึกถึงภาพทางออกในแนวต่างๆ กี่ทางก็ได้ แต่ขอให้เป็นทางที่จบลงด้วยดีน่ะนะครับ (แบบที่ทิมเองก็ต้องย้อนไปแก้อดีตหลายครั้งกว่าจะลงล็อคนั่นแหละครับ)
แล้วการนึกแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร? มันคือการเรียนรู้ไงครับ แต่เราต้องจริงจังและใช้เวลากับมันหน่อย ใช้แรงในการจินตนาการกับมันสักนิด เพื่อใช้สถานการณ์ในอดีตเป็นเหมือนสนามซ้อมแห่งชีวิต ซึ่งนี่แหละครับข้อดีประการหนึ่งของอดีต มันคือวัตถุดิบที่เราสามารถหยิบมาใช้กี่ครั้งก็ได้ และใช้เมื่อไรก็ได้ ซึ่งอันที่จริงแล้วคนส่วนใหญ่ก็ชอบหยิบอดีตมาใช้บ่อยๆ นะครับ แต่เป็นในเชิง “ใช้ซ้ำเติมตนเอง” ปล่อยให้เราเป็นฝ่ายโดนอดีตกระทำ เช่น โดนอดีตตามมาหลอกหลอน ตามมาจิกมาทิ่มแทงชีวิต ตามมาตอกย้ำซ้ำเติม แต่จริงๆ เราเลือกได้ครับ ว่าจะใช้การเยือนอดีตแต่ละครั้ง ทำให้เรา “จำแล้วเจ็บ” หรือ “เจ็บแล้วจำ”
“จำแล้วเจ็บ” คือ นึกจำทีไรเจ็บเสมอ เหมือนเอานิ้วไปสะกิดแผลเก่า แต่ “เจ็บแล้วจำ” คือเจ็บเพราะเรื่องนั้นๆ แล้วเราจำความรู้สึกนั้นได้ แล้วเราก็บอกตัวเองว่าเราจะไม่ยอมเจ็บแบบนั้นอีก ซึ่งอีกนัยหนึ่งก็คือ “เราจะควบคุมอดีตหรือปล่อยให้อดีตมาควบคุมเรา”
เปลี่ยนเลยครับ ไม่ต้องรออดีตคลานมาหลอนแบบจูออน เราเผชิญหน้าย้อนไป ลองแก้ไขมันดู ใช้อดีตเรียนรู้ ใช้มันเพิ่มทักษะ เสริม Skill ให้สมอง นึกไปเลยว่าสถานการณ์ในอดีตที่ไม่ดีเราจะแก้อย่างไร และหากเราจริงจังในการทำสิ่งนี้เพียงพอ เราก็จะได้บทเรียน เผื่อวันหน้าเราต้องไปเจอเหตุการณ์คล้ายกับอดีตอันแสนเจ็บแสนทุกข์นั้นอีก เราจะได้มีวิธีรับมือดีๆ ผุดขึ้นมาในหัว ซึ่งมันย่อมดีกว่าแค่ปล่อยให้มันเกิดไปตามยถากรรม
มันก็ไม่เสียหายอะไรครับ หากเราจะลองฝึกเป็นฝ่ายคุมชีวิตตนเองดูบ้าง แทนที่เราจะกลัวซ้ำแล้วซ้ำอีก คิดแค่ว่า “เอาอีกแล้ว ฉันกำลังจะอายอีกแล้ว สถานการณ์แย่ๆ มาอีกแล้ว” เราก็ลองเอาวิธีที่เคยคิด เคยจินตนาการไว้มาใช้ ถ้าจะเสียหายอย่างมากก็แค่ไม่ได้ผล… แต่ถ้ามันได้ผลขึ้นมาล่ะครับ
สิ่งที่ผมบอกนั้นอาจจะทำไม่ได้ทันทีครับ ไม่ใช่ฝึกวันนี้นึกวันนี้แล้วพรุ่งนี้จะเปลี่ยนตัวเองได้เลย เราอาจต้องทำแบบนี้เป็นสิบครั้งหรือเป็นร้อย แต่มันจะเป็นการฝึกจิต เปิดความคิด และปรับสมอง แทนที่เราจะปล่อยให้สมองยอมรับ (หรือยอมแพ้) ยอมเป็นฝ่ายโดนกระทำไปเรื่อยๆ อย่างที่เคยเป็นมา แต่ถ้าเราเริ่มตั้งตนคิด ตั้งจิตเปลี่ยน เราจะเริ่มเห็นความเป็นไปได้ของการเป็นฝ่ายลงมือกระทำ ของการเป็นฝ่ายคุมสถานการณ์ และการฝึกจินตนาการหาทางออกต่อสถานการณ์แย่ๆ นั้น สมมติเราจินตนาการเห็นสัก 10 ทาง เราย่อมเรียนรู้ถึงทางออกได้มากขึ้น โอกาสที่จะรับมือสถานการณ์ต่างๆ ได้ก็จะมากกว่าแค่ตอนที่สมองคิดอะไรไม่ออก มัวแต่ยอมหรือตื่นกลัวเพียงอย่างเดียว
ได้เวลาหันมาลองใช้ประโยชน์จากอดีตแล้วนะครับ
และหากสังเกตปรากฏการณ์หนึ่งในหนัง คุณจะเข้าใจสิ่งที่ผมพูดมากขึ้นครับ เพราะเมื่อทิมย้อนอดีตทำตามเคล็ดลับความลับที่พ่อบอกไปถึงจุดหนึ่ง ทิมก็เล่าว่าเขาไปไกลกว่าพ่อเล็กน้อย นั่นคือเขาสามารถมีความสุขกับปัจจุบันได้ทุกขณะ โดยไม่ต้องย้อนอดีตอีก
นั่นก็เพราะเขาใช้กายและใจอิ่มเอมอยู่กับปัจจุบัน ยิ้มและทะนุถนอมต่อสิ่งงดงามทั้งหลายที่เขามีในชีวิต (เช่น ลูก เมีย งาน เพื่อน ครอบครัว บ้าน) อีกทั้งเขายังเตรียมรับกับสิ่งต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ทั้งเรื่องดีและไม่ดี ว่าง่ายๆ คือเขากลายเป็นคนที่คุมตนเองได้ คุมสถานการณ์ได้ (ดีก็แฮ้ปปี้ ถ้าไม่ดีก็รับ และปรับให้กลายเป็นบวกได้) อันทำให้เขาคุมเวลาทุกขณะได้ โดยไม่ต้องใช้อำนาจแห่งการย้อนเวลาอีกต่อไป
ส่วนหนึ่งที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะทิมเดินตามวิถีแห่งการมีความสุขที่พ่อได้สอน นั่นคือการย้อนไปรับมือวันที่ไม่ดีซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเขาชินกับมัน เลิกกลัวมัน เลิกตอบสนองมันด้วยความเครียดและอารมณ์เชิงลบ เขาทำมันเรื่อยๆ จนปรับให้ตัวเองตอบสนองต่อมันด้วยอารมณ์และความคิดเชิงบวกได้ ยิ่งเรื่องไหนเป็นเรื่องดี เขาก็จะแสดงความดีใจออกมาเป็นสองเท่า เพื่อโอบกอดรับนาทีแห่งความสุขนั้นไว้ในอ้อมใจของตนเองแบบเต็มที่
ยิ้มรับในคุณค่าของมันอย่างเต็มที่ ณ นาทีนั้น โดยไม่ต้องรอให้มันผ่านไปแล้วค่อยมาตระหนักอย่างอาวรณ์
จริงที่เราย้อนเวลาอย่างทิมไม่ได้ แต่เราเรียนรู้ที่จะมีความสุขในทุกขณะได้ มันคืออำนาจที่เรามีเสมอครับ แต่เราก็อาจเหมือนทิมที่ต้องรอให้ใครสักคนมาบอกให้ลองทำดู และเราอาจไม่เชื่อจนกว่าจะลองลงมือทำ แต่มันอาจต่างจากอำนาจในการย้อนเวลาของทิมตรงที่ ทิมลองแล้วรู้เลย แต่กับเราๆ นั้น ต้องลองทำหลายครั้ง ฝึกใจหลายคราหน่อย ผลดอกถึงจะผลิบานออกมา
นอกจากประเด็นหลักอันสวยงามที่ผมบอกไปนั้น ผมยังชอบประเด็นปลีกย่อยอย่าง “บางครั้งสิ่งที่เราเสียไป อาจเป็นดั่งค่าผ่านทาง เพื่อเปิดโอกาสให้เราเจอกับสิ่งที่ดีกว่า” อย่างกรณีที่ทิมเสียใจและเสียดายที่ตนเองไม่สามารถชนะใจสาวสวยเสน่ห์ร้อนอย่างชาร์ล็อตต์ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเขาได้เจอกับแมรี่ เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่า เขาโชคดีแค่ไหนที่ โชคร้ายในคราวนั้น
อีกประเด็นคือการที่ทิมชนะใจแมรี่ได้ ซึ่งเขาก็ต้องย้อนเวลาหลายหนอยู่กว่าจะทำสำเร็จ แต่จุดใหญ๋ใจความที่ทำให้เขาได้รับความสนใจจากแมรี่ได้ก็เพราะเขานั้นให้ความใส่ใจต่อเธอก่อน
คิดดูครับว่ามันจะเป็นยังไงถ้าทิมไม่ใส่ใจเธออย่างจริงใจ ไม่รับฟังสิ่งที่เธอพูดอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเรื่องเคท มอส, เรื่องมุมมองความคิด และเรื่องความชอบส่วนตัวอื่นๆ อันนี้ทำให้ผมนึกถึงมุขในเดี่ยว 10 ของพี่โน้ส อุดมนะ ที่ว่าการชนะใจหญิงทำไม่ยาก แค่เอาหูไปก็พอ (555) โดยในแง่เป็นจริงเป็นจังมันอาจมีรายละเอียดมากกว่านั้นนิดหนึ่งน่ะนะครับ นั่นคือเราต้องใส่ใจเขาก่อนนั่นแหละ เปิดรับและเรียนรู้ความเป็นเขา นั่นแหละคือสะพานเชื่อมที่จะทำให้เขาหันมาสนใจในความเป็นเรา แต่อันว่าต่อไปจะตกร่องปล่องชิ้นกันไหม ก็อยู่ที่บริบทแวดล้อมต่างๆ ที่ต้องศึกษากันต่อว่าเข้ากันได้ไหม หัวใจเต้นจังหวะเดียวกันหรือเปล่า อะไรประมาณนั้น
แต่ขอแทรกไว้นิดหนึ่งว่า การจีบสำเร็จไม่ใช่เส้นชัย การเป็นแฟนสำเร็จก็ยังไม่ใช่เส้นชัย กระทั่งการแต่งงานก็ยังไม่ใช่ปลายทาง เพราะทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เรียกว่า “การเริ่มต้น” เท่านั้น
แล้วผมยังชอบ “ฉากงานแต่งของทิมกับแมรี่” ด้วยครับ จะเห็นว่าจริงๆ ในงานวันนั้นมันเกิดพายุ ลมฝนมาเต็ม ชนิดที่แขกในงานยืนถ่ายรูปยังแทบปลิวไปตามลม… แต่ทิมไม่เคยคิดจะย้อนไปเปลี่ยนอะไรมันทั้งนั้น
ผมคงไม่สรุปว่าฉากนี้มันคืออะไร แต่ผมบอกได้เพียง “มันก็เหมือนกับชีวิตหลายๆ ช่วงของคนเรานั่นแหละ… มันไม่ลงตัว มันผิดพลาด มันคาดการณ์ไม่ได้ มันเลอะเทอะ มันเซถลาร่อนลม แต่เราก็ยังรักมัน… อาจเพราะมันมีบางสิ่งท่ามกลางเหตุการณ์นั้นที่แสนงดงาม ที่แสนสุขสันต์ ที่แสนทรงค่า ซึ่งมันมีพลังบดบังความผิดพลาดไม่ลงตัวทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้จนหมดสิ้น”
และแน่นอนครับ ฉากที่พ่อกับทิมเดินเล่นกันริมทะเล หลังพ่อกล่าวคำว่า “โอ้… นี่ครั้งสุดท้ายแล้วรึ?” คือที่สุดแห่งฉากประทับใจที่ไม่รู้จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดยังไง
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึก “โดน” หนังเรื่องนี้อาจเพราะชีวิตผ่านช่วงต่างๆ มาพอสมควรน่ะครับ ผ่านวันวานแห่งการมีเพื่อน วันวานแห่งการชนะใจใครสักคน วันวานแห่งการมีครอบครัว วันวานแห่งการมีเจ้าตัวน้อย หรือกระทั่งวันวานแห่งการสูญเสีย หลายสิ่งใน About Time จึงเหมือนดึงผม ฉุดผมกระโดดไปสู่ช่วงเวลาต่างๆ ในหนังด้วย
ครั้นพอดูจบ ผมรู้สึกถึงความสวยงามของแต่ละช่วงของชีวิต ผมสนุกที่จะทำเหมือนทิมและพ่อ ที่หลับตานึกไปถึงช่วงเวลาดีๆ ต่างๆ สนุกที่จะลองแก้ไขอดีตบางอย่าง เรียนรู้จากมันเพื่อใช้ต่างก้อนอิฐในการก่อร่างสร้างวิมานที่ชื่อ “อนาคต”
ความที่หนัง About Time กระตุ้นให้เราเพลินไปกับการย้อนคิดถึงอดีต ผมเลยมีภาพอดีตของตนเองผุดขึ้นมามากมาย และตอนนี้หนึ่งในภาพอดีตที่ผมรักมากๆ คือหนังเรื่องนี้ครับ… คือ About Time
ผมไม่แน่ใจว่าข่าวที่ได้ยินมาจะจริงไหม แต่เห็นป๋า Richard Curtis เปรยๆ ว่านี่จะเป็นงานกำกับชิ้นสุดท้ายของเขา แต่เขาก็จะยังทำงานเบื้องหลังต่อไปนะครับ เพียงแต่จะไม่โดดมากำกับอีก… มีแต่อนาคตที่จะตอบได้ว่าจริงหรือไม่
แต่ผมรู้อย่างหนึ่ง ผมรู้ว่าผมจะคิดถึง About Time อีกนับครั้งไม่ถ้วนตลอดชีวิตของผม… ตัวผมในอนาคตกระซิบบอกมาอย่างนั้น
ขอบคุณทุกช่วงเวลาที่ทำให้มีผม และขอบคุณหนังเรื่องนี้ ที่ทำให้ผมรักทุกช่วงเวลามากขึ้นกว่าเดิม
สี่ดาวเต็มครับ
(9/10)