ผมคงจะพูดถึง Who Framed Roger Rabbit หลังๆ เลยนะครับ เพราะมันเป็นหนังคน+การ์ตูนที่ผมออกจะชอบและประทับใจมากโขอยู่ แล้วผมว่ามันเป็นหนังที่เอาคนมายำเล่นกับการ์ตูนได้ดีสุดๆ เลยล่ะ ดังนั้นเอาไว้ร่ายยาวทีหลัง ตอนนี้มาเผาๆ หนังที่มีคนเล่นกับการ์ตูนให้หมดๆ กันดีกว่า
และนี่คือเรื่องล่าสุดนะครับ ที่มีการจับคนมาเล่นกับการ์ตูนแล้วก็ใส่เรื่องการผจญภัยแบบเต็มที่ ดารานำก็มีชื่อทั้งนั้น ลงทุนสูงโปรโมตเยอะ ตามสูตรน่ะแหละครับ ก็กะจะเอาดัง กะจะยกพลพรรคตัวการ์ตูนมาขึ้นจออีกซักหนหลังจาก Space Jam ทำได้ไปพอหอมปากหอมคออ้ะนะครับ
ส่วนโปรเจคท์นี้ก็ออกฉายห่างจาก SJ ถึง 7 ปีทีเดียว คืออย่างนี้ครับ จริงๆ แล้ว SJ ก็ทำเงินไปโอเค (เฉพาะอเมริกาได้ไป 90 ล้านหน่อยๆ) ทาง Warner Bros. ก็มีความคิดที่จะจับเอาเหล่าตัวการ์ตูนจากค่ายลูนี่ย์ส อันมี บั๊กส์ บันนี่ กับ ดั๊ฟฟี่ ดั๊ก เป็นหัวหอกมาขึ้นจอใหญ่อีกซักรอบ และเรื่องราวคราวนี้จะเป็นในเชิงผจญภัยแอ๊คชั่น เต็มรูปแบบกว่า SJ เยอะเลยล่ะครับ และโปรเจคท์ที่ว่าใช้ชื่อว่า Spy Jam แล้วคนที่จะมาแสดงนำก็คือ เฮียเฉินหลงของเรานี่แหละ เนื้อหาประมาณว่าจะให้เหล่าตัวการ์ตูนไปช่วยเฮียเฉินแกฟัดกับเหล่าร้ายที่หมายจะครองโลก
แต่โปรเจคท์ที่ว่าก็ยังเป็นวุ้นอยู่ครับ แล้วเฮียเฉินแกก็ยังมาโด่งดังอีกตั้งเยอะจาก Rush Hour แล้วก็มีงานไหลมาเทมามากมาย จน Spy Jam ถูกดองเค็มไปพักใหญ่ๆ แล้วผู้ที่มาปลุกผีให้กับมันก็คือ Joe Dante นั่นเอง
Joe Dante ชื่อนี้ก็มีความหมายนะครับ คือแม้แกจะไม่ได้เป็นผู้กำกับแถวหน้าในปัจจุบัน แต่งานหนังดังๆ แหวกแนวในอดีตหลายอันก็เป็นผลงานของเขาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะ Piranha หนังปลากินคน, The Howling หนังว่าด้วยมนุษย์หมาป่าที่ฉีกจากแนวเดิมๆ จนขึ้นหิ้งหนังดีอีกเรื่อง ตามด้วยการร่วมงานในหนัง Twilight Zone: The Movie แล้วก็ดังสุดๆ จาก Gremlins ทั้งสองภาค ก่อนที่ชื่อเขาจะค่อยๆ เงียบหายไป แล้วก็กลับมาอีกครั้งกับ Small Soldiers แล้วก็เงียบไปอีก จริงๆ Small Soldiers ผมถือว่าทำออกมาดีนะครับ แต่ดันออกมาในช่วงที่เรื่องสไตล์นั้นซาลงไปเยอะแล้ว เลยทำให้เป็นงานที่ไม่ค่อยมีใครจะจำเท่าไหร่ แล้วก็อย่างที่บอกครับ พี่เขาหายไปอีกนาน
จนกลับมากับหนังเรื่องที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี่แหละ
ผมว่าพี่ Joe แกกะจะกลับมาเกิดใหม่ครับ เพราะหลังๆ หางานดังๆ ยากเหลือเกิน แกก็เลยพยายามหาอะไรที่แหวกๆ มาทำ และครั้งนี้เขาก็จับงานที่ … ที่จะว่าไปผมถือว่าเป็นของตายชิ้นหนึ่งเลยนะครับ เพราะเขาเอาตัวการ์ตูนลูนี่ย์สที่มีฐานคนชอบอยู่เยอะในอเมริกา คือไม่รู้ที่ตลาดต่างประเทศจะดังหรือไม่ล่ะ แต่ตลาดอเมริกามันควรจะทำเงินทำทอง เพราะคนชอบเจ้าบั๊กส์ บันนี่น่าจะออกจากบ้าน ควักตังค์จ่ายเพื่อดูหนังเรื่องนี้
แล้วก็กลับมาที่ Spy Jam นะครับ เป็นอันว่ามันไม่ได้เกิดครับ พอพี่ Joe แกเดินเข้ามาก็เกิดความเปลี่ยนแปลงทันที อย่างแรกเลยคือพี่เค้าไม่ชอบ Space Jam อย่างมาก เพราะแกออกมาด่าเลยครับว่าพวกบั๊กส์ บันนี่หรือตัวต่างๆ ที่ไปโผล่ใน SJ น่ะ มันมีคาแร็คเตอร์ที่เพี้ยนไปจากต้นฉบับตัวจริงมากมาย กล่าวคือพี่ท่านด่าว่าหนัง SJ ทำลายภาพลักษณ์บุคลิกลักษณะดั้งเดิมของตัวการ์ตูนลูนี่ย์ส
ไอ้ประเด็นที่ว่านี่ใครจะว่าไงผมก็ไม่ทราบนะครับ แต่ผมก็เข้าใจนะ คือต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเจ้าบั๊กส์ บันนี่และตัวการ์ตูนอื่นๆ ใน SJ นั้นค่อนข้างจะแสดงพฤติกรรมออกมา “เบา” กว่าที่พวกมันเคยทำ คือตามปกติมันแสบมากครับ มันจะรุนแรงกว่านี้เยอะ (ก็อย่างไอ้หมาไคโยตี้คู่ปรับโร้ด รันเนอร์เงี้ยครับ มันต้องกึ่งโหดกึ่งโรคจิตกว่านี้เยอะ อย่างเอาระเบิดมายิงกัน เอาเตียงหนามมาไล่ฟาดกัน … โคตรเหมาะกับเด็กเลยให้ตายเถอะ) หรือตัวบั๊กส์ก็ตาม ผมก็เพิ่งมานึกได้นะว่าอุปนิสัยพี่ท่านใน SJ ช่างเรียบร้อยยังไงก็ไม่ทราบ ยิ่งตอนเจอโลล่า บันนี่ก็กลายเป็นกระต่ายหงอไปเลยอ้ะครับ
ผมก็พอเข้าใจพอเห็นภาพเหมือนกันว่ามันเปลี่ยนจากต้นฉบับไปไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้คิดมากฮะ ทว่าพี่ Joe แกคิด แกโกรธเลยด้วยซ้ำ ถึงขนาดตั้งชื่อเล่นตอนถ่ายทำหนังเรื่องนี้ว่า Anti-Space Jam ไปเลยล่ะครับ แล้วก็ปรับเปลี่ยนสไตล์ให้เนื้อหากลายเป็นอะไรที่ “เหล่าตัวการ์ตูนแห่ง Looney” จะสามารถได้แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา
และนั่นคือจุดเริ่มของ Looney Tunes ภาค Back in Action ที่ประกาศเลยว่าไม่ใช่หนังสป้งสเปซอะไรทั้งนั้น นี่คือ Looney ของแท้แน่นอน
เรื่องหลักๆ มันเกี่ยวกับการตามล่าหา Blue Monkey Diamond (แค่ชื่อก็การ์ตูนโคตรๆ แล้วล่ะท่านทั้งหลาย) ซึ่งยอดสายลับที่ชื่อว่าเดเมี่ยน เดรค (Timothy Dalton) กำลังหาทางป้องกันมันให้พ้นจากน้ำมือของจอมวายร้ายอย่างท่านประธานจอมเจ้าเล่ห์แห่ง Acme Corporation (Steve Martin กับบทการ์ตูนสุดชีวิต) ที่คิดจะเอามันไปใช้ในทางชั่วๆ แต่แล้วก็ดูเหมือนว่าเดเมี่ยนจะเพลี่ยงพล้ำให้กับท่านประธานวานร้ายคนนี้น่ะครับ เพราะเขาหายตัวไปอย่างลึกลับ
ทีนี้ดีเจ (Brendan Fraser) ลูกชายของเดเมี่ยนที่ทำหน้าที่เป็นยามต๊อกต๋อยในบริษัท Warner Bros. ก็เลยต้องออกตามหาร่องรอยของพ่อ โดยระหว่างทางก็จำต้องพ่วงเอาคู่หูโคตรวุ่นวายอย่างดั๊ฟฟี่ ดั๊กที่เพิ่งจะโดนเขี่ยออกจากค่าย Warner ไปด้วย แต่ความวุ่นวายยังไม่หมดครับ เพราะทางค่าย Warner เกิดต้องการเกิดเปลี่ยนใจ ตอนแรกจะให้เขี่ยดั๊ฟฟี่ออก แต่ซักพักก็สั่งให้คนไปตามดั๊ฟฟี่กลับมา นั่นคือ เคท (Jenna Elfman) รองประธานที่โดนสั่งเลยครับว่าถ้าหากไม่ไปตามตัวดั๊ฟฟี่กลับมาให้ทัน เธอจะโดนไล่ออกทันที เคทเลยต้องตามดีเจไปอีกที โดยที่บั๊กส์ บันนี่ก็ขอออกมาตามเพื่อนเป็ดของเขากลับไปด้วย
แต่นั่นก็แค่เริ่มการผจญภัยเท่านั้นล่ะครับ เพราะระหว่างทางยังมีเรื่องบ้าๆ รอพวกเขาอีกเพียบ เฮ่อ แล้วโลกจะรอดพ้นจากแผนร้ายของท่านประธาน Acme หรือไม่น้อ?
ยอมรับเลยครับว่าไอเดียการคงแคแร็คเตอร์ของเหล่าตัวการ์ตูน Looney นั้น ได้รับการถ่ายทอดอย่างจริงจัง เชื่อแล้วว่าพี่ Joe เขาจะทำเพื่อรักษาวิญญาณของตัวการ์ตูนไว้ เพราะทุกฉากทุกตอนมันเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ของตัวการ์ตูนทั้งสิ้น ทั้งบั๊กส์ ทั้งด๊ฟฟี่และผองเพื่อนบ้ากันเต็มที่ครับ คนละแบบกับใน Space Jam เลย คือถ้าใครเป็นแฟนตัวการ์ตูนพวกนี้ล่ะคงสะใจล่ะครับ เอาแค่ฉากแรกที่คณะกรรมการบอร์ดของ Warner มานั่งเถียงกับดั๊ฟฟี่ก็ฮาแล้ว ดั๊ฟฟี่พี่เป็ดดำแกเถียงประมาณว่า “ทำไมต้องให้แต่บทเด่นกับเจ้ากระต่ายนั่นด้วย” คือทั้งเล่นทั้งกัดแบบเต็มที่น่ะครับ
ดังนั้นจุดนี้ยอมรับว่าเขาทำได้ และดีซะด้วยเพราะเหล่าตัวการ์ตูน Looney นั้น ร่ายลีลากันแบบครบสูตรความบ้า ทำให้จุดนี้คงต้องชมพี่ Joe แหละครับที่ทำได้สำเร็จเป็นชิ้นอันอย่างแท้จริง
… แต่ดูเหมือนจุดที่น่าชื่นชมอาจจะหมดลงตรงนี้นี่ล่ะครับ
คือผมไม่เถียงเลยพี่ ว่าเป้าหมายหลักพี่ทำได้ ดูแล้วฮาและสะใจในพฤติกรรมสุดโต่งของตัวการ์ตูน Looney มากๆ แต่ทว่าครับ ในส่วนอื่นๆ ไม่ว่าจะเนื้อเรื่องหรืออะไรมันอ่อนยวบจนเกินไป คือผมเข้าใจครับว่านี่เป็นการ์ตูนผจญภัยที่เอาสาระไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นมันก็น่าจะเอาความสนุกได้บ้างซี่ พล็อตเรื่องมันออกจะซ้ำๆ อ้ะครับ คือมันเห็นมาบ่อยมากๆๆๆๆ แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางช่องหนัง Disney นี่ท่านจะได้เจอหนังแนวนี้เพียบ ไอ้พวกการไปตามล่าหาของอะไรซักอย่างโดยมีพวกเด็กๆ หรือไม่ก็พวกต๊องเป็นตัวเอก ซึ่งเรื่องนี้ลงสูตรนั้นเป๊ะเลยครับ แต่ปัญหาคือสูตรนี้มันเกร่อมากๆ แล้วหนังก็เล่นเอาสูตรที่ว่ามาใช้แบบไม่คิดจะดัดแปลงให้ต่อเติมปรับปรุงให้มันน่าสนใจเลยอ้ะ คือมันสำเร็จมาอย่างไรก็ใส่น้ำสามนาทีแล้วเปิดชามออกมาให้คนดูกินซะ ง่ายๆ อย่างนั้นเลย
แล้วมันก็เลยทำมาสู่ปัญหาครับ เพราะหนังมันเสียสมดุลย์ เหมือนกับมานั่งดูเหล่าตัวการ์ตูนที่เด่นจนเกินหน้าเกินตาส่วนอื่นๆ ไปหมด ก็คิดดูครับ สมมติเราดูหนังที่ดาราเล่นดี แต่ตัวหนังไร้สาระ ไม่มีอะไรน่าติดตามเลย มันก็จะประดักประเดิดจริงมั้ยล่ะครับ แต่กับเรื่องนี้มันหนักกว่า เพราะตัวการ์ตูนมันโอเว่อร์แอ๊คไปเลย ในขณะที่เรื่องราวก็จืดไปเลยเหมือนกัน สมดุลย์มันเลยมีปัญหาครับ
นอกจากนี้ … อันนี้ว่าตามตรงเลยคือ ที่อเมริกา อาจมีแฟนที่หัวเราะเอิ้กอ้ากกับหนังบ้าง แต่ถ้าเป็นชาติอื่นนอกอเมริกานี่ผมว่ามีมุขมากมายที่เขาไม่เก๊ทเลยนะครับ ยิ่งพื้นฐานตัวการ์ตูนทั้งหลายนี่ถ้าไม่ใช่แฟนหรือไม่คุ้นเคยคงเฉยๆ น่ะ ดีไม่ดีมีงงด้วยว่าไอ้พวกบ้านี่มันจะคึกอะไรนักหนา
จนผมไม่แปลกใจครับที่หนังไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เจ๊งน่ะครับว่าง่ายๆ ก็เนื้อเรื่องมันโล่งโถง ดังนั้นคนที่ไม่ได้เป็นแฟนๆ Looney Tunes ก็ไม่คิดจะดูอยู่แล้ว เพราะมันไม่น่าสนใจ พล็อตแบบนี้หาดูได้ง่ายๆ ตามหนังเด็กทั่วไปน่ะครับ แล้วกับคำถามว่าทำไมมันถึงยังเจ๊ง เพราะแฟนๆ ตัวการ์ตูนพวกนี้น่าจะมาดูไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงทำเงินน้อย ผมก็ตอบได้เลยครับว่า ก็ในเมื่อหนังมีดีแค่เอกลักษณ์ตัวการ์ตูนอย่างบั๊กส์ แล้วก็ดั๊ฟฟี่ แล้วเรื่องอะไรผมถึงจะต้องควักกระเป๋าไปดูอะไรที่ผมสามารถดูอยู่ที่บ้านได้ล่ะ ถ้าผมอยากดูเจ้ากระต่ายนี่ตีกับเป็ด ก็แค่เปิดช่องการ์ตูนดูสบายๆ แค่เนี้ย
หนังเลยเรียบร้อยครับ ฉายไม่นานก็โดนพับเก็บไป เพราะไม่มีคนสนใจเท่าไหร่ อันนี้ก็ต้องว่ากันไปล่ะครับ ก็คงจะเห็นได้ค่อนข้างชัดว่าตัวการ์ตูน Looney ก็ใช่ว่าจะเป็นอะไรที่ยั่งยืน ไม่ได้ฮิตเหมือนแต่ก่อนแล้ว
ความรับผิดชอบก็มอบให้พี่ Joe ไปแล้วกันนะครับ ก็ปรบมือในความพยายาม แล้วก็ทำสำเร็จด้วย จริงครับเราได้ดูตัวตนจริงๆ ของพวกต่ายตูน แต่ตัวหนังกลับนิ่ง ลูกเล่นอาจจะเยอะ แต่มันก็ไม่เข้ากับหนังซะทีเดียว อย่างการไปไล่ล่าที่ลาสเวกัสเงี้ยครับ เป็นอะไรที่เรื่อยมากๆ มันค่อนข้างจะสนุกหน่อยแค่ตอนที่พวกดีเจมาถึงยังห้องทดลองลับที่แม่ของเขา (Joan Cusack) ประจำอยู่ (อันนี้ก็กัดแอเรีย 51 อีกดอกหนึ่ง) ฉากที่ว่านี่ค่อนข้างฮาเยอะหน่อย เอาแค่ตัวประหลาดที่อยู่ในสถานีนั่นถ้าใครเป็นแฟนหนังสัตว์ประหลาดยุคเก่าก็คงฮาล่ะครับ แต่นอกจากฉากที่ว่ามันก็ไม่มีอะไรให้ชื่นชม ยิ่งตอนท้ายนี่เดาได้แบบลิงปอกกล้วยเลยล่ะ
ส่วนดาราก็ดูเหมือนจะโดนต่ายกับเป็ดแย่งซีนไปซะเยอะ คนที่พอจะเด่นสู้พวกนี้ได้ก็มีแค่ Steve Martin ของผมน่ะครับ เล่นได้บ้าฮามากๆ เอาแค่ตอนยืดตัวแล้วก็หัวเราะก็โคตรการ์ตูนแล้ว นอกนั้นก็แค่ผ่านมาแล้วผ่านไป
คือ ถ้าท่านดูแบบไม่คิดมากนะครับ มันก็เพลินดี เอาขำล้วนๆ แต่ถ้าต้องการอะไรมากกว่านั้นคงต้องทำใจล่ะครับ อีกอย่างท่านก็คงต้องคุ้นเคยกับมุขต่างๆ ในหนังที่แซวทั้งหนัง ทั้งการ์ตูน ทั้งอเมริกาเองเอาหมดน่ะ แต่อันนี้ว่าตามตรงนะครับ ถ้าพูดถึงหนังการ์ตูนแนวแซวล่ะพวก Southpark อะไรมันบ้ากว่ากันเยอะ
ดูแล้วก็ให้นึกถึงเรื่องความไม่แน่นอนขึ้นมาครับ ไม่มีอะไรอยู่ยงคงกระพันได้ชั่วกาล มันเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้นแหละครับ อะไรที่น่าจะฮิต น่าจะขึ้นหิ้งไปตลอดอย่างพวกตัวการ์ตูนคลาสสิคหรืออะไรมันก็มีวันจืดจางลงไปตามกาลเวลา อย่างกรณีนี้ชัดมากน่ะครับ ของที่แน่ๆ มันยังไม่แน่เลยคิดดูเถอะ
ดังนั้นก็ต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาทครับ … อ้าว นี่ผมไม่ได้ดำน้ำโผล่มาเรื่องมั่วนะ เรื่องจริงครับ ไม่ประมาท ณ. ที่นี้หมายถึงกับคนที่ทำอะไรต่างๆ ที่คิดว่าดีอยู่แล้วน่ะ ให้พิจารณาให้ดี ดูให้แน่ว่าที่เราทำอยู่ตอนนี้ โอเคมันอาจดีที่สุด แต่พอเวลาผ่านไปที่เราว่าดีที่สุดอาจมีดีกว่า ถ้าไม่อยากตกยุคหรือตกอันดับก็ต้องรู้จักปรับปรุงตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือแนวทางการดำเนินชีวิต เอาให้มันเหมาะกับปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบันให้ดี ตามมันให้ทันน่ะครับว่าอย่างนั้นเถอะ
สำหรับหนังเรื่องนี้ผมก็ไม่อะไรมากครับ ดูจบแล้วโล่งๆ ไม่ใช่โล่งใจนะ โล่งหัว ไม่ได้มีอะไรติดมาเท่าไหร่ เอาเพลินๆ อย่างเดียว ผมน่ะยังพอไหวครับดูไปยังเก็ทกับไอ้มุขของพวกบ้านี่ แต่เพ่อนผมบางตัวนี่นั่งงงกันเลยว่าไอ้พวกเวรนี่มันเป็นบ้าอะไรกันนักหนาเหรอ
ครับ หนังเหมาะกับคนที่ชอบหรือเป็นแฟน Looney Tunes หรือชอบหนังเบาๆ ไร้สาระไม่ต้องคิดมาก อันนี้ก็พอได้ครับ แต่อย่าคาดหวังมากแล้วกัน
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:Adventure, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์, Comedy, Fantasy, Treasure Hunting Movies