รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Hellraiser: Bloodline (1996) งาบแล้วไม่งุ่นง่าน 2 (เวลาไหนก็ไม่เว้น)

B00004Y633.01.LZZZZZZZ

หนังยังมีชื่อไทยอีกชื่อนะครับว่า เปิดนรกปีศาจหัวตะปู ตอนออกมาเป็น VCD ลิขสิทธิ์ของ ST เขาน่ะครับ สำหรับหนังภาคนี้ควรที่จะสนุกไม่แพ้สองภาคแรกนะ เพราะนี่เป็นภาคก่อนหน้าและภาคจบของเรื่องราวกล่องรูบิคปริศนาและพี่พินเฮด (Doug Bradley) ด้วย แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้นนะครับ

หนังภาคนี้เล่าถึงอดีตประวัติการสร้างกล่องปริศนา ซึ่งถูกสร้างมาตั้งแต่ปี 1796 โดย ฟิลลิป เลอมาร์แชนด์ (Bruce Ramsay) นักทำของเล่นมือดี เขาสร้างมันตามคำสั่งของท่านเคาท์คนหนึ่งโดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองได้สร้างกล่องเปิดนรกขึ้นมา

จากนั้นหนังก็ตัดมาสู่เหตุการณ์ต่อจากภาค 3 (ประมาณปี 1996) ที่กล่องปริศนาได้ถูกฝังไว้ใต้อาคารขนาดยักษ์ซึ่งมีรูปลักษณ์เหมือนกล่องปริศนาไม่มีผิด และอาคารนี้ก็สร้างโดยจอห์น เลอมาร์แชนด์ (Ramsay อีกแล้วครับ) วิศวกรอนาคตไกลที่ต้องมาพัวพันกับสิ่งที่ตระกูลได้ทำเอาไว้

และในท้ายสุดหนังก็ไปโน่นเลยครับ ปี 2127 มีนักวิทยาศาสตร์ชื่อพอล เลอมาร์แชนด์ (Ramsay อีกรอบ) ได้พยายามทำการทำลายล้างกล่องนรกนี่ให้สิ้นซากไป และเขาก็ต้องเผชิญกับพินเฮดอย่างไม่ต้องสงสัยครับ

เนื้อหาของภาคนี้มันน่าสนมากๆ ครับ เพราะคำถามได้รับคำตอบซะที กล่องมาจากไหน? เกิดขึ้นอย่างไร? และมันจะจบลงหรือไม่ซึ่งไอเดียของหนังก็เริ่มมาจาก Clive Barker เจ้าของนิยายต้นฉบับและผู้กำกับภาคแรกที่อยากใส่ความสดลงไปในหนังชุด Hellraiser ไอเดียการเล่าหนังในภาคนี้ที่แบ่งเป็น 3 ช่วงเวลานั้นก็มาจากเขานี่แหละครับ แล้ว Peter Atkins ก็มาช่วยเสริมด้วยเรื่องเกี่ยวกับตระกูลเลอมาร์แชนด์

ลองนึกๆ ดูแล้วการเดินเรื่องของหนังมันก็ดูคล้ายพวก Creepshow น่ะครับ ประเภทนำเอาเรื่องราว 3 ตอนมาเล่าให้ฟัง อันนี้จัดว่าเป็นความคิดที่เข้าท่าครับ เพราะดูจากเนื้อหาแต่ละช่วงแล้ว มันเหมาะมากที่จะเล่าสั้นๆ ถ้าร่ายยาวจะกลายเป็นน่าเบื่อไป แต่ถึงงั้นก็ตาม เนื้อหาน่าจะมันส์ แต่ผลที่ได้กลับธรรมดามากครับ

สิ่งแรกที่หายไปคือเสน่ห์ความสยองแบบดิบๆ เถื่อนๆ ที่หายไปมากครับ ฉากแหวะๆ อาจจะยังพอมี แต่บรรยากาศน่าหวาดผวาแบบภาคก่อนมันไม่เหลือเลยครับ สไตล์มันออกจะไซไฟไปซะแล้วด้วย ต่อมาคือพวกซีโนไบท์ (พวกปีศาจน่าเกลียดน่ากลัวที่คอยฉีกมนุษย์น่ะครับ) ก็มีน้อย มีแค่ตัวเดียวเอง เป็นปีศาจฝาแฝดตัวติดกัน ความหลากหลายและน่ากลัวเลยลดลงไป แม้จะมีตัว Chatter-Beast (ปีศาจเขี้ยวโง้งจอมเขมือบ) มาเสริมทัพก็ตาม มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรนัก

รวมถึงแองเจลลิค (Valentina Vargas) เจ้าหญิงแห่งนรกที่รอคอยการปลดปล่อยนรกของเธอออกมาเดินดิน ถ้าว่ากันตรงๆ แองเจลลิคดูเหมือนว่าจะมีอำนาจมากไม่แพ้พินเฮดเลยนะครับ แต่เธอกลับไม่สามารถฉายแววอำมหิตโหดเหี้ยมออกมาเท่าไหร่ ทำท่าว่าจะเด่น แต่ก็แค่เกือบๆ เท่านั้น

และท้ายสุดคือพี่พินเฮดเจ้าเก่า (Doug Bradley) หัวหน้าซีโนไบท์ที่ทรงอำนาจและน่ากลัวที่สุด ในภาคนี้แม้พินเฮดจะมีบทบาทมากขึ้น แต่แทนที่จะดีดันกลายเป็นเฉยๆ ไป เพราะการที่พินเฮดโผล่ออกมาน้อยๆ เฉพาะฉากสำคัญๆ อย่างในภาคก่อน ทำให้เขาดูขลังน่าเกลงขาม คนดูเมื่อเห็นเขาปรากฏตัวจะรู้ทันทีว่าเจ้าชายดำผู้นี้มาพร้อมความน่าสะพรึง แต่กับภาค 4 นี้พินเฮดปรากฏตัวเกือบตลอดในครึ่งหลัง ความขลังเลยไม่มีครับ เหมือนพี่แกเดินดินทั่วๆ ไป

Hellraiser4Ex

หนังค่อนข้างน่าผิดหวังที่สุดในชุดนี้ครับ เพราะหนังไม่โหดเท่าภาคแรกๆ อีกแล้ว คือ … จริงๆ แล้วหนังโคตรสะอาดน่ะครับ ยังกับมีแม่บ้านมาเก็บกวาดมันทุกฉากยังงั้นแหละ สะอาดเกินปายแล้ว ขนาดหน้าพี่พินเฮดแกยังดูนวลๆ เลยครับ ไม่ทราบว่าไปโบ๊ะหน้ามาจากไหน ภาคก่อนๆ หน้าพี่เขาแข็งๆ เหมือนปูนซีเมนต์ มาภาคนี้ทำไมมันขาวดูมีเลือดฝาดขนาดนี้ล่ะ โธ่ เสียหมดเลยนะพี่

ซึ่งเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้พี่พินเฮดดูเปลี่ยนไปก็เพราะมีการเปลี่ยนวิธีเมคอัพไปใช้วิธีที่ง่ายขึ้นและประหยัดงบมากขึ้น และ Gary J. Tunnicliffe มือเมคอัพที่ร่วมงานกับหนังชุดนี้มาตั้งแต่ภาค 3 ยังบอกเลยครับว่าเมคอัพแบบเดิมน่ะ จะทำให้พินเฮดดูขลังกว่าเยอะ

หนังอืดครับ ไม่ค่อยน่ากลัวแล้ว ไม่ค่อยน่าติดตามด้วย ทั้งๆ ที่เนื้อหาน่าสนนะ ยิ่งสำหรับแฟนๆแล้ว จะได้รู้ว่ากล่องบ้านี่มันมาจากไหน แต่การเดินเรื่องน่าเบื่อครับ ธรรมดามากๆ มิหนำซ้ำการปรากฎตัวของพี่พินเฮดแกก็ไม่น่ากลัวอีกแล้ว ดูเหมือนพี่เขามาเดินเล่นมากกว่าจะมาทรมานคนแบบตอนก่อนๆ

เฮ่อ ไม่น่าแปลกใจครับที่ ผู้กำกับหนังเรื่องนี้จะใช้ชื่อ Alan Smithee มาแปะแทน (ชื่อ Alan นี้ จะใช้ก็ต่อเมื่อผู้กำกับหนังเรื่องนั้นๆ ไม่ยอมรับผลงานชิ้นนั้นๆของตน พูดง่ายๆ คือ ย่ำแย่จนเจ้าตัวยังรับไม่ได้น่ะครับ) แล้วผู้กำกับตัวจริงก็คือ Kevin Yagher การที่เขาถอนตัวออกมาก็เพราะความเห็นขัดกับผู้สร้างครับ สุดท้ายผู้สร้างเลยจัดการหนังตามที่ตัวเองต้องการ แล้วพี่ Kevin ก็ถอนตัวออกมา

ตอนแรกได้ข่าวว่า Stuart Gordon แห่ง Re-Animator 2 ภาคหลังสนใจจะมาทำครับ แต่ก็ถอนตัวไปในนาทีสุดท้าย ในขณะที่ Guillermo del Toro ผู้กำกับ Blade II และ Hellboy ก็ปฏิเสธข้อเสนอในการกำกับหนังเรื่องนี้ครับ

การที่หนังทะลึ่งหลุดไปไซไฟนั่นทำให้หนังไกลตัวครับ เหมือน Jason X นั่นแหละ ไม่รู้จะกลัวอะไร ภาคก่อนๆ เหตุมันเกิดใกล้ตัวมากครับ คนดูเลยมีอารมณ์ร่วมได้ไม่ยากเย็น แต่ภาคนี้เกิดบนอวกาศก็คงมีเฉพาะนักบินอวกาศของนาซ่าเท่านั้นล่ะครับถึงจะมีอารมณ์ร่วม (แต่กลัวไม่กลัวนี่ว่ากันอีกเรื่องนะครับ) และช่วงบนยานอวกาศนี่กลายเป็นน่าเบื่อไปเลยครับ แม้ตอนหลังในการเล่นงานพินเฮดจะถือว่าใช้สมองอยู่ก็ตาม แต่หนังมันเฉยมาตลอดน่ะครับ เลยช่วยอะไรไม่ได้

หนังมันก็ไม่ถึงกับย่ำแย่จนดูไม่ได้นะครับ แต่หากเทียบกันแล้ว ผมชอบภาคนี้น้อยที่สุดในบรรดาหนัง Hell ทั้งหมด เพราะมันไม่แรง ไม่โหดไม่แหวะ เนื้อหาก็ไม่เข้มข้นเท่าสองภาคแรก พินเฮดก็ดูด้อยความสยองลง หนังเลยไม่ค่อยน่าจดจำนัก และในแง่รายได้แล้วก็ถือว่าทำเงินในอเมริกาน้อยที่สุดครับ ทำไปราว $9 ล้าน (ในขณะที่ 3 ภาคแรกทำไปเกิน $10 ล้านทั้งสิ้น)

ค่อนข้างน่าผิดหวัง ขนาดหวังน้อยแล้วนะครับ ก็เป็นว่าทำใจก่อนดูครับ มันเป็นหนัง Hell ที่สะอาดและเป็นไซไฟมากเลยครับ

แต่ก็มีสะใจแกหนึ่ง ที่จะมีตัวละครขอความเมตตาจากพี่พินเฮด พี่แกเลยตอบไปประมาณว่า “แกบ้าแล้วรึไง ข้าดูเป็นคนมีความเมตตาตรงไหน” … จริงเลยล่ะครับ หน้าตาอย่างแก มีตะปูเต็มหัวเนี่ย จะเมตตาได้ไง ถ้าเมตตาฆ่าล่ะไม่แน่

เกือบสองดาวน่ะครับ

Star12

(5/10)

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.