หลังจากภาค 2 ประสบความสำเร็จอย่างสูง โกยเงินทั่วโลกร่วมๆ $300 ล้าน Rambo III เลยมาพร้อมความมั่นใจครับ ลงทุนสูงถึง $63 ล้าน ซึ่งถือเป็นหนังที่ลงทุนมากที่สุดในเวลานั้นเลยทีเดียว
เหตุการณ์หลังจากภาค 2 ราวๆ 3 ปี ตอนนี้จอห์น แรมโบ้ (Sylvester Stallone) กำลังพำนักอยู่ที่วัดในประเทศไทย (นัยว่าเพื่อหาความสงบ) แต่แล้วโรเบิร์ต กริ๊กส์ (Kurtwood Smith) ก็เดินทางมาบอกข่าวร้ายกับเขาว่า ผู้พันทรอทแมน (Richard Crenna) ผู้ที่คอยช่วยเหลือเขามาตลอด โดนจับตัวไว้ที่อัฟกานิสถาน งานนี้แรมโบ้เลยต้องออกโรงเพื่อช่วยเขากลับมาให้ได้
ภาคนี้ลงทุนเยอะครับ ดูก็รู้ ช่วงท้ายมีฉากรบใหญ่มาก และเนื้อหาก็กะจะขายความมันส์เหมือนกัน ก็พวกผู้ร้ายจับใครไม่จับ ดันมาจับผู้มีพระคุณของแรมโบ้ไปซะได้ แบบนี้ต้องโดนแรมโบ้กระหน่ำถึงชีวิตครับ
โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกสนุกกับหนังน้อยลงกว่า 2 ภาคก่อนครับ หากถามเหตุผลที่รู้สึกเช่นนั้น อย่างแรกเลยก็คงเพราะเสน่ห์หลักๆ หลายอย่างของแรมโบ้หายไป เช่น การใช้ทักษะซุ่มล่าฆ่าเชือดในป่าอันเป็นเอกลักษณ์นั้นหายไป เพราะศึกครั้งนี้ไปบู๊กันกลางทะเลทรายครับ ต้นหญ้ายังหายาก ป่าเขาแทบไม่ต้องพูดถึง ดังนั้นเทคนิคไหวพริบเจ๋งๆ ของแรมโบ้จากภาคก่อนเลยไม่ค่อยปรากฏในภาคนี้ – อย่างมากก็มีแค่ตอนที่แรมโบ้ย่องเข้าไปในฐานของผู้ร้าย แล้วก็ใช้มีดทิ่มทรายก่อนจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อระวังกับระเบิดที่ซ่อนอยู่ ก็มีประมาณนี้น่ะครับ นอกนั้นก็บู๊แบบไล่ยิงไล่ระเบิดลุยด่านกันมากกว่า
อีกอย่างคือ 2 ภาคก่อนหนังเข้าเรื่องค่อนข้างเร็วครับ ไม่กี่สิบนาทีแรมโบ้ก็ได้ลุยแล้ว แต่ภาคนี้หนังใช้เวลาค่อนข้างมากกว่าแรมโบ้จะได้บู๊ก็ปาไป 40 นาทีแล้ว ช่วงต้นๆ ก็ใช้เวลาไปกับการปูพื้นเรื่องผู้พันทรอทแมนมาหาแรมโบ้ จากนั้นก็โดนจับ พอโดนจับแล้วแรมโบ้ก็ตามไปช่วย แต่กว่าจะได้ช่วยหนังก็ใช้เวลาไปกับการบอกเล่าสถานการณ์ในอัฟกานิสถานซึ่งการบอกเล่าถือว่าเรื่อยๆ ไม่ได้น่าสนใจมากนัก อะไรเหล่านี้ทำให้ครึ่งแรกหนังค่อนข้างจะอืดๆ เรื่อยๆ ไม่กระชับเท่าคราวก่อนๆ
แต่ก็ยังดีครับที่ช่วงครึ่งหลังพอถึงเวลาต้องบู๊ก็ทำได้มันส์อยู่ ตั้งแต่ตอนช่วยทรอทแมนไล่ไปจนถึงการไล่ล่าในถ้ำซึ่งถือว่าทำได้ไม่เลว ก่อนที่จะไปรบกันแบบใหญ่โตในตอนท้าย อย่างน้อยถ้าพูดถึงฉากบู๊ถล่มทลายล่ะก็ ถือว่าหนังยังทำในส่วนนี้ได้โอเคครับ ซึ่งหนังได้รับการบันทึกจาก Guiness Book of World Records นะครับว่าเป็นหนังที่มีความรุนแรงมากที่สุด (ณ เวลานั้น) นั่นคือมีการใช้ความรุนแรง 221 ครั้ง และมีคนตาย (ตามท้องเรื่อง) กว่า 108 คน
ยอมรับครับว่าตอนดูภาคนี้รอบแรกค่อนข้างผิดหวังนะ แต่พอเอามาดูอีกครั้งแบบเรียงภาคต่อกันในรอบล่าสุดนี่ เหมือนพอรู้จุดอ่อนของหนังแล้ว และเตรียมใจรับมันได้แล้ว (ทำใจรับความอืดในครึ่งแรกได้น่ะครับ) ก็เลยทำให้รู้สึกโอเคกับหนังมากขึ้น ประมาณว่าครึ่งแรกทำใจหน่อยละกัน ไว้รอไปมันส์อีกทีในครึ่งหลัง ถ้าทำใจประมาณนี้ก็ทำให้การดูหนังภาคนี้ในรอบล่าสุดค่อนข้างโอเคขึ้น – แต่ก็นั่นล่ะครับ 2 ภาคแรกยังสนุกกว่าอยู่พอตัว
เกร็ดหนังภาคนี้ก็คือ ตอนแรกหนังจะกำกับโดย Russell Mulcahy ที่สมัยนั้นกำลังดังจาก Highlander ซึ่งจริงๆ เขาทำงานไปแล้ว 2 สัปดาห์ครับ แต่ไปๆ มาๆ ความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์ของเขากลับแตกต่างจากพี่สไล ด้วยความที่พี่สไลมีอำนาจมากกว่า Mulcahy เลยต้องเป็นฝ่ายไป พร้อมกับทีมงานตากล้องอีก 3 คน
แล้ว Peter MacDonald ที่เคยเป็นผู้กำกับกอง 2 และเป็นตากล้องในบางช็อตให้กับ Rambo: First Blood Part II ก็ได้มานั่งเก้าอี้กำกับหนังเป็นครั้งแรก ซึ่งผลลัพธ์ก็อย่างที่บอกไปครับ ไม่เด่นนัก และอาจเพราะแบบนั้นเขาเลยไปได้ไม่ไกลนักในฐานะผู้กำกับ นอกจากเรื่องนี้ที่ถือว่าพอมีชื่อแล้ว เขาก็ยังได้กำกับ The Adventures of Young Indiana Jones ตอน The Phantom Train of Doom และได้กำกับ Legionnaire ของ Jean-Claude Van Damme ซึ่งถ้าจำไม่ผิดเรื่องหลังนี่ได้เข้าโรงในบ้านเราด้วย (เข้าอยู่พักหนึ่ง)
หนังทำเงินในอเมริกาไปราวๆ $53 ล้าน ยังดีครับที่ทำเงินทั่วโลกยังได้เยอะอยู่ ได้ไป $189 ล้าน อย่างน้อยหนังก็ไม่ขาดทุน เพียงแต่ไม่ค่อยสมศักดิ์ศรีเท่านั้นเอง
เอาเป็นว่าถ้าสนุกกับสองภาคแรก มาภาคนี้ต้องปรับใจนิดนึงครับ
สองดาวลบครับ
(6/10)
หมวดหมู่:Action, รีวิวหนัง/ภาพยนตร์