Adventure

Miss Peregrine’s Home for Peculiar Children (2016) บ้านเพริกริน เด็กสุดมหัศจรรย์

14573020_1351131461584318_6761790729518831318_n.jpg

Miss Peregrine’s Home for Peculiar Children นี่ถือเป็นผลงานของป๋า Tim Burton ที่จัดว่าดูเพลินไม่เลวครับ แม้โดยรวมมันจะยังไม่สุดในหลายๆ ทางก็เถอะ และขณะเดียวกันก็อดรู้สึกไม่ได้ว่านี่ดูเป็นหนังป๋า Tim ที่มีความเป็นป๋า Tim น้อยๆ ยังไงก็ไม่รู้

พูดแบบไม่อ้อมค้อมคือหนังมันดูไร้พิษภัย แม้จะมีฉากน่ากลัวบ้าง แต่ก็ไม่ได้มาพร้อมอารมณ์หลอนหรือพิสดารสักเท่าไร ไม่ค่อยจะมีฉากแปลกหรือประหลาดสไตล์เดิมๆ ของป๋า Tim อย่างที่แฟนๆ คุ้นเคยกัน

เนื้อเรื่องว่าด้วย เจค (Asa Butterfield) ที่เดินทางไปตามหามิสเพริกริน (Eva Green ที่แสดงได้ดีและเด่นมาก) บุคคลในเรื่องเล่าแสนมหัศจรรย์ที่ปู่ของเขา (Terence Stamp) เล่าให้ฟังตั้งแต่เด็ก (แต่พ่อของเจคกลับมองว่าเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ)

ซึ่งมิสเพริกรินคนนี้ก็เป็นผู้ดูแลเด็กที่มีพลังพิเศษครับ และพอเจคได้เจอกับพวกเขาแล้ว เขาก็ต้องมาช่วยมิสเพริกรินรับมือกับ บาร์รอน (Samuel L. Jackson) หัวหน้าตัวร้ายที่หมายจะจับเด็กที่มีพลังทุกคนไป

อย่างที่บอกครับ หนังดูได้เพลินๆ แต่ยังไม่สุด องค์รวมของหนังยังไม่กลมกล่อมเท่าที่ควร อย่างช่วงต้นเดินเรื่องก็จัดว่าอืดครับ ตอนแรกผมก็คิดประมาณว่า หนังอาจนำเสนอตอนต้นให้มันดูอืดๆ จืดๆ เพื่อที่จะได้ใส่จินตนาการแบบเน้นๆ ตอนเจคได้เจอกับพวกเด็กพิเศษ

แต่เอาเข้าจริง ตอนเจคอยู่ในบ้านของมิสเพริกรินมันก็ไม่ได้แปลกหรือพิสดารจนโดดเด่นอะไร ออกแนวเรื่อยๆ น่ะครับ คืออาจจะสนุกขึ้นกว่าตอนต้นบ้าง ได้เห็นพลังที่น่าสนใจของเหล่าเด็กพิเศษบ้าง แต่ความน่าติดตามก็ยังไม่มากอะไร

จุดหนึ่งที่แปลกใจไม่น้อยคือการทิ้งปมน่ะครับ หนังไม่ค่อยทิ้งปมเพื่อสร้างความน่าติดตามสักเท่าไร เหมือนครึ่งแรกเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ จริงๆ ก็มีบางฉากที่เหมือนจะเป็นการทิ้งปมนะ อย่างตอนที่สัตว์เลี้ยงของชาวบ้านตายไป แต่หนังก็เหมือนจะนำเสนอแบบผ่านๆ ไม่ได้สร้างอารมณ์ “ผิดปกติ” ให้เกิดขึ้นสักเท่าไร

แล้วหนังก็มากระหน่ำเล่าอะไรๆ ในตอนครึ่งหลังครับ ก็ดูน่าติดตามเพิ่มขึ้นบ้าง ทว่าในช่วงท้ายหนังก็เหมือนจะเร่งน่ะครับ เล่าอะไรหลายอย่างรวบรัดไป ประมาณว่าอารมณ์หรือฟีลยังไม่ทันมา ก็เล่าเดินหน้าไปเรื่อยๆ ซะแล้ว หรือฉากไคลแม็กซ์ที่จริงๆ ก็ไม่เลว แต่มันก็ยังไม่ออกรสน่าสนใจแบบเต็มที่เท่าที่ควร

โดยรวมมันก็ดูสนุกอยุ่ครับ เพียงแต่มันยังสุดได้อีก การเดินเรื่องมันยังโอเคกว่านี้ได้อีกเยอะ ถ้าตัดทอนตอนต้นออกไปบ้าง แล้วก็เพิ่มรายละเอียดตอนกลางๆ กับตอนท้ายๆ ให้เต็มที่ หนังมันก็คงจะอร่อยกว่าที่เป็นน่ะครับ

จริงๆ หนังเรื่องนี้มีกลิ่นอายความประหลาดในเนื้อเรื่องนะ แต่ระหว่างดูเรากลับไม่ได้สัมผัสถึงความประหลาดเท่าที่ควร อันนี้ผิดคาดเหมือนกัน เพราะตอนแรกก็นึกว่าหนังเรื่องนี้กำกับโดยป๋า Tim มันก็น่าจะถูกคู่แล้ว แต่งงตรงที่ผลลัพธ์ของหนังกลับไม่มีความแปลก และแทบไม่มีความเป็น Tim Burton แบบเดิมๆ เลย

จะว่าไปนี่ถือเป็นงานกำกับเรื่องแรกของป๋า Tim หลังแยกทางกับ Helena Bonham Carter (พวกเขาแยกทางกันก่อน Big Eyes (2014) ฉายได้ไม่นานครับ) ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะมีผลเกี่ยวเนื่องกันไหม แต่ที่แน่ๆ ถ้าดูจากผลงานแล้ว อารมณ์และโทนของหนังเรื่องนี้มันต่างจากหนังเรื่องก่อนๆ พอสมควรครับ ประจวบกับที่ดนตรีประกอบก็ไม่ได้แต่งคอมโพเซอร์คู่บุญอย่าง Danny Elfman ด้วย (พอดี Elfman ติดทำดนตรีให้ Alice Through the Looking Glass และ The Girl on the Train ครับ) รสชาติหนังเลยต่างจากของเดิมๆ ไป

เอาเป็นว่าก็ดูได้ครับ จริงๆ หนังมันก็โอเคในแบบของมันนะ เพียงแต่ไม่ได้โดดเด่นหรือน่าจดจำเป็นพิเศษอะไร ถ้าวัดกันที่เรื่องราวแล้ว ผมว่าเข้าท่าครับ เป็นหนังที่ดูสนุกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าวัดกันที่การนำเสนอของป่า Tim แล้ว ผมว่า Alice in Wonderland หรือ Dark Shadows ยังดูมีลูกเล่นน่าสนใจเยอะกว่าครับ

สองดาวใกล้ครึ่งครับ

Star21

(6.5/10)